ตลาดตราสารหนี้ไทย 17-21 ก.ค. 66 คึกคักยอดซื้อขาย 3.61 แสนล้าน

24 ก.ค. 2566 | 05:21 น.
อัปเดตล่าสุด :24 ก.ค. 2566 | 05:22 น.

รอบสัปดาห์ที่ผ่านมา 17-21 ก.ค. 66 ตลาดตราสารหนี้ไทย “ซื้อ-ขาย” คึกคักยอดเฉลี่ยวันละ 7.23 หมื่นล้านบาท รวมทั้งอาทิตย์ยอดแตะ 3.61 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนกว่า 20% ต่างชาติทยอยเข้าซื้อ

สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) ได้สรุปภาวะ "ตลาดตราสารหนี้ไทย" รอบประจำสัปดาห์ช่วงระหว่างวันที่ 17 - 21 ก.ค. 66 พบว่า ปริมาณการซื้อขายตราสารหนี้ มีมูลค่ารวมถึง 361,773 ล้านบาท หรือ เฉลี่ยอยู่ที่กว่าวันละ 72,355 ล้านบาท และปรับตัวเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้า 20%

สำหรับประเภทของตราสารหนี้กว่า 57% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมด หรือประมาณ 204,503 ล้านบาท เป็นการซื้อขายในตราสารหนี้ที่ออก โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (state Agency Bond) ซึ่งเป็นตราสารที่มีอายุคงเหลือไม่เกิน 6 เดือน 

ขณะที่พันธบัตรรัฐบาลที่ออกโดยกระทรวงการคลัง (Government Bond) มีมูลค่าการซื้อขาย 89,653 ล้านบาท คิดเป็น 25% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมด

สำหรับพันธบัตรรัฐบาล ที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด 3 อันดับแรกคือ รุ่น LB526A (อายุ 28.9 ปี) รุ่น LB293A (อายุ 5.7 ปี) และรุ่น LB336A (อายุ 9.9 ปี) โดยมีมูลค่าการซื้อขายในแต่ละรุ่นเท่ากับ 13,313 ล้านบาท 12,033 ล้านบาท และ 10,140 ล้านบาท ตามลำดับ

ส่วนหุ้นกู้ที่ออกโดยภาคเอกชน (Corporate Bond) มีมูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 13,968 ล้านบาท คิดเป็น 4% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมด

หุ้นกู้เอกชน ที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 

บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) รุ่น BCP258B (A) รวมมูลค่าการซื้อขาย 1,118 ล้านบาท 

บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) รุ่น PTTGC271A (AA(tha)) มูลค่าการซื้อขายรวม 881 ล้านบาท 

บริษัท เอก-ชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด รุ่น LOTUSS24OB (A+) มูลค่าการซื้อขายรวม 703 ล้านบาท

อย่างไรก็ตามสัปดาห์ที่ผ่านมา (17-21 ก.ค. 66) กระแสเงินลงทุนต่างชาติไหลเข้าตลาดตราสารหนี้ไทยรวมสุทธิ 14,667 ล้านบาท โดยเป็นการซื้อสุทธิในตราสารหนี้ระยะสั้น (ST) ที่มีอายุคงเหลือไม่เกิน 1 ปี รวม 18,841 ล้านบาท

และซื้อสุทธิในตราสารหนี้ระยะยาว (LT) อายุมากกว่า 1 ปี รวม 1,174 ล้านบาท และไม่มีตราสารหนี้ที่ถือครองโดยนักลงทุนต่างชาติหมดอายุ 5,348 ล้านบาท

ด้านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวผันผวนประมาณ 3-7 bps. โดยมีแรงซื้อจากนักลงทุนต่างชาติในตราสารระยะสั้น ด้านปัจจัยต่างประเทศ สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) รายงานผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 2/2566 ขยายตัว6.3% (YoY) ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ในโพลสำรวจของสำนักข่าวรอยเตอร์คาดการณ์ว่าจะขยายตัว 7.3% 

ด้านโกลด์แมน แซคส์ปรับลดคาดการณ์โอกาสที่สหรัฐฯ จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในช่วง 12 เดือนข้างหน้า เหลือเพียง 20% จากเดิมคาดการณ์ที่ 25% เนื่องจากข้อมูลเศรษฐกิจที่ดีเกินคาด ทำให้อัตราเงินเฟ้อ สามารถชะลอตัวลงสู่ระดับที่ยอมรับได้ โดยไม่จำเป็นต้องเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย