สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) สรุปภาวะตลาดตราสารหนี้ รอบสัปดาห์ 22 - 26 พฤษภาคม 2566 พบว่าปริมาณการซื้อขาย "ตราสารหนี้" มีมูลค่ารวม 370,789 ล้านบาท เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณวันละ 74,158 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้าประมาณ 22%
การซื้อขายตามประเภทของตราสารหนี้
ตราสารหนี้ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (state Agency Bond) มูลค่าการซื้อขายทั้งหมด หรือประมาณ168,435 ล้านบาท (45%) ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นตราสารที่มีอายุคงเหลือค่อนข้างน้อย (ไม่เกิน 6 เดือน)
พันธบัตรรัฐบาลที่ออกโดยกระทรวงการคลัง (Government Bond) มีมูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 114,998 ล้านบาท(31%)
หุ้นกู้ที่ออกโดยภาคเอกชน (Corporate Bond) มีมูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 17,355 ล้านบาท (5%)
อย่างไรก็ตามในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา 22-26 พ.ค. 66 กระแสเงินลงทุนต่างชาติไหลออกตลาดตราสารหนี้ไทยรวมสุทธิ 20,824 ล้านบาท โดยเป็นการขายสุทธิในตราสารหนี้ระยะสั้น (ST) (อายุคงเหลือไม่เกิน 1 ปี) 15,953 ล้านบาทและขายสุทธิในตราสารหนี้ระยะยาว (LT) (อายุมากกว่า 1 ปี) 1,711 ล้านบาท และมีตราสารหนี้ที่ถือครองโดยนักลงทุนต่างชาติหมดอายุ 3,160 ล้านบาท
ด้านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 6-11 bps. หลังจากที่นักลงทุนคาดว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีโอกาสปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมสัปดาห์หน้า
สำหรับพันธบัตรรัฐบาล ที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด 3 อันดับแรกคือรุ่น LB236A (อายุ 1 ปี) LB336A (อายุ 10.1 ปี) และ LB25DA (อายุ 2.6 ปี)
โดยมีมูลค่าการซื้อขายในแต่ละรุ่นเท่ากับ 18,500 ล้านบาท 11,183 ล้านบาท และ 9,926 ล้านบาท ตามลำดับ
หุ้นกู้ภาคเอกชนที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด 3 อันดับแรก ประกอบด้วย
หุ้นกู้ของบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) รุ่น TBEV236A (AA(tha)) มูลค่าการซื้อขาย 3,651 ล้านบาท
หุ้นกู้ของบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) รุ่น SC24DA (Non-Rated) มูลค่าการซื้อขาย 1,546 ล้านบาท
หุ้นกู้ของธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) รุ่น KKP237A (Non-Rated) มูลค่าการซื้อขาย 1,142 ล้านบาท