เงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 9พ.ค.ที่ระดับ 33.85 บาทต่อดอลลาร์

09 พ.ค. 2566 | 02:04 น.

ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 9พ.ค.2566ที่ระดับ 33.85 บาทต่อดอลลาร์ "อ่อนค่าลงเล็กน้อย”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 33.82 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุนธนาคารกรุงไทยระบุว่า แนวโน้มค่าเงินบาท ในช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนไปตามทิศทางเงินดอลลาร์

รวมถึงโฟลว์ธุรกรรมเกี่ยวกับทองคำ โดยมีจังหวะอ่อนค่าลงตามการแข็งค่าของเงินดอลลาร์และโฟลว์ซื้อทองคำในจังหวะย่อตัวบางส่วน 

นอกจากนี้ แม้เงินบาทจะมีจังหวะแข็งค่าขึ้นบ้าง แต่ก็ยังมีแรงซื้อเงินดอลลาร์จากผู้เล่นบางส่วนในตลาดยังช่วยหนุนให้เงินบาทแกว่งตัวเหนือระดับ 33.80 บาทต่อดอลลาร์ได้บ้าง (โดยส่วนหนึ่งอาจเป็นการขายทำกำไร Long THB ของผู้เล่นบางส่วน)
 
ส่วนในวันนี้ เราประเมินว่า เงินบาทอาจแกว่งตัว sideways ในกรอบเดิมต่อ โดยเราประเมินว่า ผู้เล่นบางส่วนในตลาดอาจรอจังหวะเงินบาทแข็งค่าในการทยอยขายทำกำไรสถานะ Long THB (มองเงินบาทแข็งค่า) นอกจากนี้ ผู้นำเข้าบางส่วนก็อาจรอจังหวะที่เงินบาทแข็งค่าขึ้นในการเข้าซื้อเงินดอลลาร์ 

ขณะเดียวกัน โฟลว์จ่ายเงินปันผลให้กับนักลงทุนต่างชาติก็ยังคงมีอยู่ และจะเป็นปัจจัยกดดันเงินบาทฝั่งอ่อนค่า ในขณะที่ปัจจัยหนุนการแข็งค่าของเงินบาทนั้น อาจมาจากแรงซื้อสินทรัพย์ไทยของนักลงทุนต่างชาติ ดังจะเห็นได้จากการที่นักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาซื้อสุทธิหุ้นและบอนด์ 

รวมกันมากกว่า 9 พันล้านบาทในวันก่อนหน้า (นอกจากนี้ดัชนี SET ยังส่งสัญญาณพร้อมรีบาวด์ขึ้นในระยะสั้น) ทำให้ เราประเมินว่า โซน 34.00 บาทต่อดอลลาร์ จะยังคงเป็นโซนแนวต้านสำคัญในระยะสั้น ขณะที่โซนแนวรับจะอยู่ในช่วง 33.75-33.80 บาทต่อดอลลาร์
 
เราคงคำแนะนำว่า ในช่วงที่ตลาดการเงินยังมีความผันผวนสูงจากทั้งปัจจัยการเมืองสหรัฐฯ (ประเด็นขยายเพดานหนี้) และการเมืองไทย ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
 
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.75-34.00 บาท/ดอลลาร์

ผู้เล่นในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังไม่กล้าเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงเพิ่มเติม เพื่อรอประเมินแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายของเฟด จากรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ในวันพุธนี้ก่อน 

นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดยังคงรอจับตาความคืบหน้าของการเจรจาขยายเพดานหนี้ (US Debt Ceiling) ซึ่งในสัปดาห์นี้ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะมีกำหนดประชุมกับผู้นำ สส จากพรรครีพับลิกัน เพื่อหาทางออกร่วมกันในประเด็นดังกล่าว 

ทั้งนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังพอได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นเทคฯ ใหญ่ ไม่กี่ตัว อาทิ Alphabet +2.1%, Nvidia +1.6% ส่งผลให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้นเล็กน้อย +0.05%
 
ทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง +0.35% หนุนโดยรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนที่ออกมาดีกว่าคาด

 นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน (BP +3.3%, Shell +1.9%) หลังราคาน้ำมันดิบได้รีบาวด์และทรงตัวเหนือระดับ 70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลได้อีกครั้ง
 
ส่วนทางด้านตลาดบอนด์ แม้ว่าผู้เล่นในตลาดจะยังไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยงชัดเจน ทว่าการรีบาวด์ขึ้นต่อเนื่องของราคาน้ำมันดิบ และความกังวลต่อแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ก็มีส่วนช่วยหนุนให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวสูงขึ้นใกล้ระดับ 3.50% เข้าใกล้โซนแนวต้านอีกครั้ง

 ซึ่งเราประเมินว่า ผู้เล่นในตลาดบางส่วนอาจรอจังหวะที่บอนด์ยีลด์ทยอยปรับตัวสูงขึ้นในการเข้าสะสมการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ทำให้ในระยะสั้น บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจยังคงแกว่งตัวใกล้โซนแนวต้านแถว 3.50%-3.65%
 
ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ได้ปรับขึ้นสู่ระดับ 101.5 จุด เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็รอจับตารายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ซึ่งหากออกมาสูงกว่าคาด 

หรืออัตราเงินเฟ้อไม่ได้ชะลอลงชัดเจน ก็อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดเริ่มกลับมามองว่า เฟดอาจคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 5.00-5.25% ได้นานกว่าคาด ซึ่งจะช่วยหนุนให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นได้เช่นกัน 

อย่างไรก็ดี เรามองว่า ในเดือนพฤษภาคม ความเสี่ยงการเมืองสหรัฐฯ จากประเด็นการขยายเพดานหนี้อาจเป็นปัจจัยสำคัญที่อาจกดดันให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงได้

 ส่วนในฝั่งราคาทองคำ แม้ว่าราคาทองคำจะพยายามปรับตัวขึ้นทดสอบโซนแนวต้านเหนือระดับ 2,040 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่ราคาทองคำยังคงเผชิญแรงขายทำกำไร นอกจากนี้การปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และ

บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ  ก็มีส่วนช่วยกดดันให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน มิ.ย.) ย่อตัวลงต่อเนื่องใกล้โซนแนวรับระดับ 2,025 ดอลลาร์ต่อออนซ์
 
สำหรับวันนี้ ตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการปรับนโยบายการเงินของเฟด ผ่านถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เช่นเดียวกันกับในฝั่งยุโรป ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ก็อาจช่วยให้ผู้เล่นในตลาดประเมินแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายของ ECB ได้ ซึ่งล่าสุด ตลาดได้คาดว่า ECB อาจเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อจนแตะระดับ 3.75% เป็นอย่างน้อย
 
ส่วนในฝั่งเอเชีย ตลาดคาดว่า ยอดการส่งออกของจีนในเดือนเมษายนอาจโตราว +10%y/y ซึ่งอาจไม่ได้สะท้อนความต้องการสินค้าที่เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากฐานของยอดการส่งออกในปีก่อนหน้าอยู่ในระดับที่ต่ำ ตามภาวะ Lockdown ของเมืองใหญ่ๆ อย่าง เซี่ยงไฮ้ อย่างไรก็ดี ยอดการนำเข้าอาจหดตัว -0.3%y/y ซึ่งส่วนหนึ่งอาจสะท้อนว่าความต้องการสินค้าในประเทศอาจยังฟื้นตัวได้ไม่ดีมาก

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 33.73-33.75 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.00 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 33.80 บาทต่อดอลลาร์ฯ

โดยเงินบาทขยับแข็งค่าขึ้นสอดคล้องกับสัญญาณซื้อสุทธิพันธบัตรไทยของนักลงทุนต่างชาติ อย่างไรก็ดีกรอบการแข็งค่าของเงินบาทในระหว่างวันอาจเป็นไปอย่างจำกัด ขณะที่ภาพรวมของสกุลเงินเอเชียอื่นๆ อ่อนค่าลงเล็กน้อย หลังเงินดอลลาร์ฯ ฟื้นตัวขึ้นบางส่วน

สอดคล้องกับการปรับขึ้นของบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ (ก่อนการรายงานตัวเลข CPI และ PPI ของสหรัฐฯ ในวันพุธและพฤหัสบดีตามลำดับ) 

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ คาดไว้ที่ 33.70-34.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ สัญญาณฟันด์โฟลว์ สถานการณ์แบงก์และปัญหาเพดานหนี้ของสหรัฐฯ ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด

ทิศทางเงินทุนต่างชาติและการเคลื่อนไหวของสกุลเงินในภูมิภาค และตัวเลขการส่งออกเดือนเม.ย. ของจีน