BTS เผยงบ 9 เดือน รายได้ลด ฉุดกำไรสุทธิเหลือ 2,059 ล้านบาท

15 ก.พ. 2566 | 02:05 น.

BTS เผยงบไตรมาส3 ปี65/66 กำไรสุทธิ 1,049 ล้านบาท ลดลง 0.5% จากปีก่อน ขณะที่งบ 9 เดือน กำไร 2,059 ล้านบาท ลดลง 31.7% เหตรายได้จากบริการรับเหมา-กำไรขายที่ดินลด มั่นใจศก.ปี66 ฟื้น หนุนธุรกิจบริษัทเติบโต

 

บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS แจ้งผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ถึงผลดำเนินงานของบริษัทฯไตรมาส 3 ปี 2565/2566 มีกำไรสุทธิ1,048.55 ล้านบาท ลดลง 0.5% จากไตรมาสช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1,054.30 ล้านบาท

ขณะที่ มีรายได้รวม จำนวน 6,620 ล้านบาทลดลง 28.0% หรือ 2,573 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อน รายได้ที่ลดลง มีสาเหตุหลักมาจากรายได้จากการให้บริการรับเหมาที่ลดลง 3,239 ล้านบาท เนื่องจากงานก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสีเหลืองอยู่ในช่วงท้ายของการพัฒนา

อย่างไรก็ตาม การลดลงดังกล่าวถูกชดเชยบางส่วนด้วยการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยรับจำนวน 579 ล้านบาท ส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากรายได้ดอกเบี้ยรับที่เกี่ยวกับโครงการรถไฟฟ้า และการเพิ่มขึ้นตามสัญญาของรายได้จากการให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุง (O&M) จำนวน 133 ล้านบาท

สำหรับผลประกอบการงวด 9 เดือน ปี 65/66 มีกำไรสุทธิ 2,058.63 ล้านบาท ลดลง 31.7% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 3,013.31 ล้านบาท ขณะที่รายได้รวมอยู่ที่ 17,814 ล้านบาท ลดลง 29.6% หรือ 7,489 ล้านบาท จากปีก่อนหน้า 

โดยมีปัจจัยหลักมาจาก

  •  (1) การลดลงของรายได้จากการให้บริการรับเหมา จำนวน 9,135 ล้านบาท สาเหตุหลักจากการลดลงของรายได้งานก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสีเหลือง 
  • (2) กำไรจากการขายที่ดินที่ลดลงจำนวน 460 ล้านบาท ประกอบกับ 
  • (3) ไม่มีการบันทึกกำไรจากตราสารทางการเงินใน 9เดือนแรกของปี 2565/66

 

อย่างไรก็ดี การลดลงถูกชดเชยบางส่วนด้วย (1) การเพิ่มขึ้นของรายได้จากการบริการและการขาย จำนวน 1,090 ล้านบาท ตามการเพิ่มขึ้นตามสัญญาของรายได้จากการให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุง (O&M)และการเติบโตของรายได้จากธุรกิจ MIX (2) รายได้ดอกเบี้ยรับที่เพิ่มขึ้น จำนวน 768 ล้านบาท และ (3) กำไรจากการขายเงินลงทุนในบริษัทร่วม จำนวน 544ล้านบาท

 

เศรษฐกิจปี 66 ฟื้นหนุนธุรกิจเติบโต

สำหรับมุมมองปี 2566 ภาพรวมเศรษฐกิจไทยยังอยู่ในทิศทางการฟื้นตัว โดยได้รับปัจจัยหนุนจากการบริโภคภาคเอกชนและภาคการท่องเที่ยวที่ปรับตัวดีขึ้น ซึ่งในช่วงก่อนการระบาดของโควิด การท่องเที่ยวถือเป็นแรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทย ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2565 รัฐบาลได้ประกาศลดระดับความรุนแรงของโควิดลงเป็นโรคประจำถิ่น ภาคการท่องเที่ยวจึงถูกมองว่าเป็นภาคธุรกิจหลักที่ได้รับประโยชน์และจะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจตลอดทั้งปี 2566

โดย Deloitte ประเทศไทยคาดการณ์ว่า จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติกว่า 22 ล้านคนในปี 2566 (ในปี 2565ประเทศไทยได้บรรลุเป้าหมายจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 10 ล้านคนแล้ว)ส่งผลให้ GDP ของไทยสามารถเติบโตได้ในอัตรา 3.7% ในปี 25661 ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ จะช่วยสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจเราทั้งหมด ทั้งธุรกิจ MOVE ธุรกิจ MIX และธุรกิจ MATCH (3M) ตลอดทั้งปี
 

 

 


 

อย่างไรก็ดี การตัดสินใจทางเศรษฐกิจหรือทางการเมืองที่สำคัญ และอาจเกี่ยวข้องกับบริษัทฯ มีโอกาสถูกเลื่อนออกไป เพราะส่วนใหญ่ต้องรอผลการเลือกตั้งทั่วไปครั้งใหม่ก่อน ซึ่งครั้งนี้มีกำหนดการในไตรมาส 2 ปี 2566 ในไตรมาส 4 ปี 2565/66 บริษัทฯ คาดว่าธุรกิจ MOVE จะได้รับแรงหนุนจากการเพิ่มขึ้นตามสัญญาของค่าจ้างของรายได้จากการเดินรถและซ่อมบำรุง (O&M)

โดยในช่วง 9 เดือนแรก ปี 2565/66 บริษัทฯ สามารถรับรู้รายได้ที่ 4,985 ล้านบาท ด้วยเหตุนี้ บริษัทฯ จึงคาดว่ารายได้ O&M ของทั้งปีนี้ จะเป็นไปตามคาดการณ์รายได้ของปีงบประมาณ 2565/66 ที่ตั้งไว้จำนวน 6,700 ล้านบาท

นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนใน BTSGIF ยังนับเป็นปัจจัยบวกให้กับผลประกอบการของธุรกิจ MOVE ซึ่งเป็นผลมาจากการฟื้นตัวของจำนวนเที่ยวเดินทาง (ridership) ของรถไฟฟ้าสายสีเขียวหลัก ที่เพิ่มขึ้นมาถึงระดับ 568,000 เที่ยวคนต่อวัน ในเดือนมกราคม 2566 หรือคิดเป็น 75% จากระดับในช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดโควิด ที่มีจำนวนเที่ยวการเดินทางอยู่ประมาณ 756,000 เที่ยวคนต่อวัน

สำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสีเหลือง ล่าสุด บริษัทฯ ได้กำหนดการทดสอบเดินรถสำหรับสายสีเหลือง ไว้ในช่วงไตรมาส 1 ปี 2566 ต่อด้วยสายสีชมพูในช่วงไตรมาส 2 ปี 2566 ดังนั้น การเปิดดำเนินการของรถไฟฟ้าทั้งสองสายจะเป็นหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญสำหรับธุรกิจ MOVE ในปีงบประมาณ 2566/67 ที่จะมาถึง

เนื่องจากบริษัทฯ จะสามารถรับรู้รายได้ค่าโดยสารจากทั้งสองสายผ่าน NBM3 และ EBM4 (ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ) พร้อมกันนี้ จากสัญญาสัมปทาน 30 ปี กำหนดให้NBM และ EBM มีสิทธิได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลเมื่อสัมปทานของทั้งสองสายเริ่มต้น ซึ่งจะช่วยเสริมสถานะสภาพคล่องของบริษัทด้วย