ค่าเงินบาทวันนี้เปิดเช้านี้ “อ่อนค่า” ที่ระดับ 35.47 บาทต่อดอลลาร์

18 ส.ค. 2565 | 00:32 น.

เงินบาทอาจผันผวนในฝั่งอ่อนค่าได้บ้าง ตามการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ รวมถึงอาจมีโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว-ผู้ส่งออกรอทยอยขายเงินดอลลาร์ในโซนแนวต้านแถว 35.50-35.60บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 35.47 บาทต่อดอลลาร์“อ่อนค่าลงเล็กน้อย”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 35.42 บาทต่อดอลลาร์

 

นายพูน  พานิชพิบูลย์   นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน  ธนาคารกรุงไทยระบุว่า แนวโน้มค่าเงินบาท เรามองว่า เงินบาทอาจผันผวนในฝั่งอ่อนค่าได้บ้าง ตามการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ รวมถึงอาจมีโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัวที่สามารถเป็นแรงกดดันเงินบาทฝั่งอ่อนค่าได้

 

นอกจากนี้ การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมา อาจเปิดจังหวะให้นักลงทุนต่างชาติทยอยขายทำกำไรหุ้นไทยได้บ้าง โดยเฉพาะในช่วงที่บรรยากาศในตลาดการเงินโดยรวมเริ่มเข้าสู่ภาวะระมัดระวังตัวและปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น ซึ่งหากนักลงทุนต่างชาติกลับมาเป็นฝั่งขายสุทธิหุ้นไทยก็อาจเป็นอีกปัจจัยที่กดดันเงินบาทฝั่งอ่อนค่าได้

อย่างไรก็ดี เรามองว่า การอ่อนค่าของเงินบาทคงไม่ได้รุนแรงมากนัก เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างรอปัจจัยใหม่ๆ อยู่ นอกจากนี้ ผู้ส่งออกส่วนใหญ่ต่างก็รอทยอยขายเงินดอลลาร์ในโซนแนวต้านแถว 35.50-35.60 บาทต่อดอลลาร์ ทำให้เงินบาทอาจยังไม่ได้อ่อนค่าทะลุโซนแนวต้านดังกล่าวในช่วงนี้

 

มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.35-35.55 บาท/ดอลลาร์

 

 

ผู้เล่นในตลาดการเงินฝั่งสหรัฐฯ อยู่ในภาวะระมัดระวังตัวมากขึ้นและเริ่มทยอยขายทำกำไรสินทรัพย์เสี่ยงออกมา หลังจากที่รายงานการประชุม FOMC ล่าสุด สะท้อนว่าเฟดยังมีแนวโน้มเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายจนกว่าเฟดจะสามารถคุมปัญหาเงินเฟ้อได้

 

อย่างไรก็ดี รายงานการประชุมเฟดได้ส่งสัญญาณว่าแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดอาจชะลอลงจาก 0.75% เป็นการขึ้น 0.50% ในการประชุมเดือนกันยายน (ตลาดประเมินโอกาสราว 65% ที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมเดือนกันยายน จาก CME FedWatch Tool) ทั้งนี้ รายงานยอดค้าปลีกพื้นฐาน (ไม่รวมยอดขายรถยนต์ น้ำมัน วัสดุก่อสร้างและอาหาร) สหรัฐฯ ในเดือนกรกฎาคมที่ขยายตัว 0.4% จากเดือนก่อนหน้า ดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้

 

รวมถึงแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของเฟดได้หนุนให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 2.90% และยังคงกดดันให้ หุ้นกลุ่มเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth ต่างปรับตัวลดลง ส่งผลให้ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง -1.25% ส่วนดัชนี S&P500 ก็ปิดตลาด -0.72%

 

ส่วนในฝั่งยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาปรับตัวลดลงกว่า -0.91% ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) รวมถึงธนาคารกลางยุโรป (ECB) หลังจากที่ล่าสุด เงินเฟ้อทั่วไปของอังกฤษในเดือนกันยายน พุ่งสูงขึ้นกว่าคาดไปมาก นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังถูกกดดันจาก ความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจยุโรปชะลอตัวลงหนักและเสี่ยงเข้าสู่สภาวะถดถอย

 

ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) ยังคงแกว่งตัวใกล้ระดับ 106.6 จุด หนุนความต้องการถือสินทรัพย์ปลอดภัยของผู้เล่นในตลาดในช่วงที่ตลาดการเงินยังคงผันผวน นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนจากแนวโน้มเฟดเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย

 

ทั้งนี้ การปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้กดดันให้ราคาทองคำปรับตัวลดลงต่อเนื่องสู่ระดับ 1,779 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเราคาดว่า การปรับตัวลดลงของราคาทองคำอาจทำให้ผู้เล่นบางส่วนทยอยเข้ามาซื้อทองคำในจังหวะย่อตัวได้บ้าง ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็อาจเป็นปัจจัยที่กดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้

 

สำหรับวันนี้ ตลาดจะรอลุ้นรายงานข้อมูลเงินเฟ้อทั่วไปของยูโรโซน โดยตลาดมองว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปก็มีแนวโน้มเร่งขึ้นสู่ระดับ 8.9% เช่นกัน ทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางยุโรป (ECB) อาจเดินหน้าเร่งขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมเดือนกันยายน โดย ECB อาจเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 0.50% ต่อเนื่องได้ หากเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง 

 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 35.47-35.49 บาทต่อดอลลาร์ฯ (9.13 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 35.42 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยเงินบาทปรับตัวอยู่ในกรอบแคบ แต่อาจจะขยับอ่อนค่าในระหว่างวัน หลังจากเงินดอลลาร์ฯ ได้รับแรงหนุนจากสัญญาณคุมเข้มนโยบายการเงินต่อเนื่องของเฟด โดยรายงานการประชุมเฟด สะท้อนว่า กรรมการเฟดจะเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่องเพื่อดึงเงินเฟ้อสหรัฐฯ ให้ชะลอกลับลงมาอยู่ที่ระดับที่สามารถควบคุมได้

 

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ คาดไว้ที่ 35.35-35.55 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยปัจจัยที่ต้องติดตามจะอยู่ที่ทิศทางฟันด์โฟลว์ของนักลงทุนต่างชาติ สถานการณ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีน รวมถึงตัวเลขเศรษฐกิจต่างประเทศที่สำคัญ ได้แก่ ยอดขายบ้านมือสองเดือนก.ค. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐฯ ตลอดจนตัวเลขเงินเฟ้อเดือนก.ค. ของยูโรโซน