ออมสิน จ่อขยายเวลาแก้หนี้ครู พร้อมปรับเงื่อนไขใหม่

29 ก.ค. 2565 | 00:00 น.

ออมสิน เดินหน้าแก้หนี้ครู จ่อขยายโครงการถึงสิ้นปี พร้อมปรับเกณฑ์ใหม่ ขณะที่ปัจจุบันมีข้าราชการครู บุคคลากรทางการศึกษา เข้าโครงการแก้หนี้กับออมสินแล้วกว่า 3.5 แสนราย พร้อมแนะสหกรณ์ปรับลดดอกเบี้ยลงเหลือไม่เกิน 5% เพื่อช่วยลูกหนี้อีกทางหนึ่ง

นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยความคืยหน้าการแก้ปัญหาหนี้ครู หลังจากธนาคารได้ออกสินเชื่อโครงการลดภาระหนี้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา หรือโครงการแก้หนี้ครู เมื่อปี 2564 นั้น ขณะนี้มีผู้เข้าร่วมทั้งหมด 3.5 แสนราย มีวงเงิน 3.5 - 3.7 แสนล้านบาท เฉลี่ยลูกหนี้ มีหนี้คนละ 1 ล้านบาท

โดยปัจจุบันเหลือจำนวนที่ยังเป็นหนี้คุณภาพไม่ดี เพียง 4.4% จากทั้งพอร์ต และเมื่อเทียบกับต้นทุนที่ธนาคารต้องสำรองเผื่อกรณีเกิดหนี้เสียแล้ว ถือว่าธนาคารไม่ได้กำไรจากส่วนนี้ โดยที่ผ่านมาธนาคารได้มีมาตรการไม่ฟ้องร้องหรือไม่ดำเนินคดี ไม่มีการนำทรัพย์ไปขายทอดตลาด ไม่มีการยึดทรัพย์ และไม่ฟ้องล้มละลาย กับลูกหนี้ที่เป็นหนี้เสีย ซึ่งจะสิ้นสุดในเดือนมิถุนายน 2565

อย่างไรก็ตาม ธนาคารกำลังอยู่ระหว่างพิจารณาขยายโครงการแก้หนี้ครูออกไป ถึงสิ้นปี 2565 โดยจะมีการปรับเงื่อนไขโครงการ ให้เฉพาะลูกหนี้ที่ยังมีปัญหาเข้ามาปรับโครงสร้างหนี้อีกครั้ง โดยลูกหนี้จะต้องเข้ามาคุยกับธนาคาร ซึ่งธนาคารก็จะหาแนวทางในการแก้ปัญหาทางการเงินให้ ส่วนเรื่องดอกเบี้ยที่คงค้าง ธนาคารก็จะทำการลดให้อยู่แล้ว

 

“หากขยายโครงการแก้หนี้นานเกินไป อาจทำให้ลูกหนี้เสียวินัยทางการเงิน แต่ธนาคารไม่อยากซ้ำเติม จึงขยายไปช่วยเหลือเฉพาะผู้ที่มีปัญหาจริงๆ ดึงกลับเข้าแก้ไขหนี้อีกครั้ง และถ้าจะให้ช่วยแบบรีไฟแนนซ์ทั้งหมดอีกครั้ง ก็คิดว่าทำไม่ได้ เพราะเมื่อรีไฟแนนซ์ไป สหกรณ์ออมทรัพย์ครูต่างๆ ก็ตัดเงินไปก่อน ธนาคารก็เสี่ยงพังได้” นายวิทัย กล่าว 

วิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน

 

นายวิทัย กล่าวอีกว่า สำหรับโครงการแก้ไขหนี้ครู ถือว่าไม่ได้มีความเสี่ยงมาก แม้ลูกหนี้กลุ่มนี้อาจจะดูไม่มีเงินใช้หนี้ในช่วงที่กำลังทำงาน แต่เมื่อถึงวัยเกษียณ จะที่มีเงินเก็บและสวัสดิการค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะเป็น กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) บำเหน็จดำรงชีพ บำเหน็จตกทอดกรณีที่เสียชีวิต

 

และบางส่วนอาจมีประกันชีวิต จึงทำให้ไม่ได้เสี่ยงอย่างที่หลายฝ่ายคิด พร้อมระบุ หากสหกรณ์ช่วยลดดอกเบี้ยลง ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม หรือลดลงเหลือไม่เกิน 5% ก็จะช่วยได้อีกทางหนึ่ง เพราะสหกรณ์บางแห่งยังคิดอัตราดอกเบี้ยสูงถึง 7-8%