EIC ชี้ สงคราม-ชิปขาดแคลน กดดันการฟื้นตัวอุตฯยานยนต์ปี65

13 ก.ค. 2565 | 10:07 น.

EIC มองอุตสาหกรรมรถยนต์ไทยปี 65 ฟื้นตัวแบบชะลอตัว หลังสงครามรัสเซีย-ยูเครน และปัญหาขาดแคลนชิปยังยืดเยื้อ กดดันภาคการผลิต พร้อมปรับคาดการณ์ยอดขายรถยนต์ในประเทศลงเหลือ 7.8 แสนคัน หลังทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นกระทบกำลังซื้อผู้บริโภค

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ Economic Intelligence Center (EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยภาพรวมอุตสาหกรรมรถยนต์ของไทย ปี 65 มีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น แต่เป็นอัตราเติบโตที่ชะลอลงเล็กน้อย ท่ามกลางความเสี่ยงจากสงคราม และปัญหาขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ที่ยืดเยื้อ

 

ทั้งนี้ ปัญหาขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลก มีแนวโน้มยาวนานกว่าที่คาด ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเนื่องมายังอุตสาหกรรมปลายน้ำอย่างรถยนต์ ซึ่งจำเป็นต้องใช้ชิ้นส่วนเซมิคอนดักเตอร์ในการผลิตด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ ที่มีเทคโนโลยีที่ทันสมัย และรถยนต์ EVs
 

ขณะเดียวกันปัญหาต้นทุนวัตถุดิบต่าง ๆ ที่ปรับตัวสูงขึ้นในตลาดโลก ที่อาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานการผลิตรถยนต์ไทย เนื่องจากการคว่ำบาตรรัสเซีย ทำให้ราคาพลังงานและราคาวัตถุดิบสินค้า commodities หลายตัวในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นมาก และทำให้ต้นทุนการผลิตรถยนต์ปรับตัวจะสูงขึ้นตามไปด้วย


ขณะที่แนวโน้มการเปลี่ยนผ่านไปสู่รถยนต์ EVs ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อ Supply chain อุตสาหกรรมรถยนต์ของไทยในระยะยาว โดยเฉพาะผู้ผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ใช้สำหรับเครื่องยนต์และระบบส่งกำลังของยานยนต์สันดาปภายใน (ICE)

 

ยกเว้นผู้ผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์บางประเภท เช่น โครงรถ ตัวถัง ระบบช่วงล่าง เบาะนั่ง ล้อรถ เป็นต้น ซึ่งจะได้รับผลกระทบน้อยกว่าผู้ผลิตชิ้นส่วนประเภทอื่น ๆ ที่ไม่ได้อยู่ในห่วงโซ่อุปทานรถยนต์ EVs

 

และแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจ Car sharing และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรรมของผู้บริโภค คนรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องการเป็นเจ้าของทรัพย์สินน้อยกว่าคนรุ่นเก่าอาจส่งผลต่อความต้องการรถยนต์ในระยะต่อไป

 

จากปัจจัยดังกล่าว EIC คาดยอดผลิตรถยนต์ในปี 65 จะขยายตัวราว 2% หรืออยู่ที่ 1.72 ล้านคัน ขณะที่ ยอดขายรถยนต์ในประเทศ คาดว่าจะขยายตัว 2.8% เมื่อเทียบกับปีก่อน หรืออยู่ที่ราว 7.8 แสนคัน

 

ซึ่งชะลอลงจากคาดการณ์เดิม ณ ต้นปีที่ 8.2 แสนคัน จากแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ เนื่องจากผลกระทบของสงครามรัสเซีย-ยูเครน และทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น ที่คาดว่าจะส่งผลให้กำลังซื้อของผู้บริโภคยังฟื้นตัวได้จำกัด

 

ด้านยอดส่งออกรถยนต์ในประเทศ มีแนวโน้มขยายตัว 2.1% เมื่อเทียบกับปีก่อน หรืออยู่ที่ราว 0.98 ล้านคัน มีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา แต่ยังคงเป็นการฟื้นตัวอย่างช้า ๆ ตามการทยอยฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า อย่างไรก็ดียังต้องติดตามแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในระยะต่อไปที่มีแนวโน้มชะลอลง

 

พร้อมคาด อุตสาหกรรมยานยนต์จะฟื้นตัวได้ดีจากรถบรรทุกและรถจักรยานยนต์เป็นหลัก ขณะที่รถยนต์นั่งและรถโดยสารฟื้นตัวอย่างช้า ๆ

• ยอดขายกลุ่มรถโดยสารและรถบรรทุกในปี 65 มีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น โดยคาดว่ายอดจดทะเบียนรถโดยสารและรถบรรทุกจะขยายตัวที่ 3.1%YOY โดยมีปัจจัยหนุนมาจากโครงการก่อสร้างของภาครัฐ ทั้งในส่วนของการก่อสร้างทั่วไปและโครงการเมกะโปรเจกต์

 

ทั้งนี้สำหรับกลุ่มรถโดยสาร (รถบัส) นั้น ยังคงมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นอย่างช้า ๆ ตามภาคการท่องเที่ยว แต่คาดว่าจะสามารถทยอยฟื้นตัวดีขึ้นอย่างชัดเจนในช่วงครึ่งปีหลัง ตามนโยบายการเปิดประเทศของรัฐบาล

 

• ยอดขายกลุ่มรถยนต์นั่งส่วนบุคคลปี 65 มีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นอย่างช้า ๆ โดยคาดว่ายอดขายรถยนต์นั่งส่วนบุคคลจะขยายตัวอยู่ที่ 1.1%YOY จากปัจจัยหนุนในการคลายล็อกดาวน์และการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐแต่ยังคงต้องติดตามปัญหาภาวะเงินเฟ้อและราคาพลังที่ปรับตัวสูงขึ้น และอาจส่งผลให้กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง

 

• ยอดขายรถจักรยานยนต์ในประเทศและยอดส่งออกรถจักรยานยนต์ปี 65 มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องที่ 5.2% หรืออยู่ที่ราว 1.69 ล้านคัน  โดยได้รับปัจจัยหนุนต่อเนื่องจากธุรกิจ delivery, e-commerce และรายได้เกษตรกรที่ปรับตัวดีขึ้น รวมไปถึงความนิยมในรถจักรยานยนต์ราคาสูงที่เพิ่มขึ้นในตลาดจีนและกลุ่มสหภาพยุโรป

 

EIC มอง ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมยานยนต์ต้องปรับกลยุทธ์เพื่อรับมือกับสถานการณ์ ดังนี้

•  จากประเด็นปัญหาการขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ และปัญหาราคาต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มสูงขึ้นนั้น ผู้ประกอบการจำเป็นต้องหาแหล่งวัตถุดิบจากแหล่งผลิตใหม่ ๆ หรือเปลี่ยนไปใช้วัตถุดิบชนิดอื่นทดแทน

 

•  จากแนวโน้มความต้องการรถยนต์ EVs ในตลาดโลก ส่งผลให้ผู้ผลิตรถยนต์ค่ายต่าง ๆ จะต้องมีการปรับแผนการผลิตรถยนต์ที่สอดรับกับนโยบายส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าของภาครัฐ

 

สำหรับกลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์บางประเภทที่ยังสามารถใช้ร่วมกันได้ระหว่างรถยนต์ 2 ประเภทจะต้องมีการพัฒนาคุณภาพการผลิตเพื่อรองรับการผลิตรถยนต์ EVs และสำหรับผู้ผลิตชิ้นส่วนอื่น ๆ ที่ไม่สามารถใช้ร่วมกับรถ EVs ได้อาจจะต้องมีการพัฒนาต่อยอดไปสู่อุตสาหกรรมใหม่ ๆ หรือขยายธุรกิจไปยังตลาดชิ้นส่วนทดแทน (REM)

 

• แนวโน้มเทรนด์ธุรกิจ Car sharing ที่จะนำไปสู่ธุรกิจใหม่ เนื่องจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ผู้บริโภคในปัจจุบันที่มีความต้องการขับขี่รถยนต์แต่ไม่ได้มีความต้องการถือครองไว้ใช้ในระยะยาว ทั้งนี้การให้บริการเช่ารถยนต์ระยะสั้น ที่ให้บริการในหลายรูปแบบทั้งรายชั่วโมง รายเดือน จะสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้