หุ้นไทยปิดภาคเช้าดิ่งกว่า 25 จุด หุ้นพลังงาน-ค้าปลีก-การเงิน กดดันตลาด

12 พ.ค. 2565 | 05:53 น.

หุ้นไทยปิดภาคเช้านี้( 12 พ.ค.65 ) ดิ่ง 25.55 จุด หรือ -1.58% ดัชนี SET ยืนระดับ 1,587.79 จุด มูลค่าการซื้อขาย 47,907.07 ล้านบาท รับแรงกดดันจากหุ้นกลุ่มพลังงาน , ค้าปลีก และกลุ่มการเงินปรับลงยกแผง ด้านบล.กสิกรไทย แนะเลี่ยงลงทุน หุุ้นกลาง-เล็ก PE สูง เน้นหุ้นขนาดใหญ่-ปันผลงาม

ตลาดหุ้นไทยภาคเช้านี้ (12 พ.ค.65 ) ปรับลงต่อเนื่องหลุด 1,600 จุดอีกครั้ง โดยเมื่อเวลา 10.04 น.ดัชนี SET อยู่ที่ระดับ 1,599.86 จุด ลดลง 13.48 จุด (-0.84%) ก่อนจะปิดตลาดซื้อขายภาคเช้าอยู่ระดับ 1,587.79 จุด ปรับลดลง 25.55 จุด (-1.58%) ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 47,907.07 ล้านบาท 

 

โดยดัชนีSET ปรับสูงสุดที่ระดับ 1,607.88 จุด และระดับต่ำสุดที่ 1,585.68 จุด หรือปรับดิ่งต่ำสุด 27.66 จุดเช้านี้

10 อันดับหุ้นไทย ที่มีมูลค่าซื้อขายสูงสุด ได้แก่

 

  • 1.PTTGC 2,552.92  ล้านบาท ราคาล่าสุด 45.00 บาท (-3.00 บาท)
  • 2.JMT 2,329.21 ล้านบาท ราคาล่าสุด   67.00 บาท (-5.75 บาท)
  • 3.CPALL 1,456.33  ล้านบาท ราคาล่าสุด 62.75 บาท (-0.75 บาท )
  • 4.CRC 1,320.90 ล้านบาท ราคาล่าสุด 36.00 บาท (-2.75 บาท)
  • 5.PTT 1,233.41 ล้านบาท ราคาล่าสุด 36.50 บาท (-0.25 )
  • 6.ADVANC 1,207.03 ล้านบาท ราคาล่าสุด 217.00 บาท (+3.00 บาท )
  • 7.AOT 1,018.31 ล้านบาท ราคาล่าสุด 66.50 บาท  -
  • 8.BDMS  990.89 ล้านบาท ราคาล่าสุด 25.50 บาท (+0.50 บาท )
  • 9.EGCO  875.95 ล้านบาท ราคาล่าสุด169.00 บาท (+8.00 บาท )
  • 10.MTC 860.97 ล้านบาท ราคาล่าสุด 40.50 บาท (-4.00 บาท )


ขณะที่ ฝ่ายวิจัยบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย ระบุว่า SET Index ครึ่งเช้า Sector ส่วนใหญ่ปรับลงเกือบหมด ตามภาพใหญ่ที่ได้รับ Sentiment ลบจากต่างประเทศ  หลักๆ กลุ่มที่กดดัชนี(-) มากที่สุดคือ 

 

  • กลุ่มพลังงาน (GULF, PTT, PTTEP)
  • กลุ่มค้าปลีก (CRC,CPALL BJC) 
  • กลุ่มการเงินปรับลงยกแผง(SAWAD MTC TIDLOR ฯลฯ)

 

ส่วนกลุ่มที่ปรับขึ้น(+) มีเพียงกลุ่มโรงพยาบาลเงินสดขนาดใหญ่(BDMS, BH) โดยมุมมองที่เป็นหุ้น Defensive ภายใต้ตลาดหุ้นผันผวน ฯลฯ ส่วนการเคลื่อนไหว ยังคงเห็นหุ้นขนาดเล็ก Underperform กว่ากลุ่มอื่นๆ สะท้อนจากดัชนี MAI (-2.7%DoD เทียบกับดัชนี SET50 -1.1% & SETHD -0.6%) บ่งชี้ว่าช่วงนี้ยังแนะนำ

 

ให้ชะลอลงทุน

 

  • หุุ้นกลาง-เล็ก ที่ PE สูง
  • กลุ่มปิโตรเคมี,อิเล็กทรอนิกส์ยานยนต์ จากความเสี่ยงเศรษฐกิจเผชิญภาวะถดถอย 

 

เน้นลงทุนในหุ้น

 

  • ขนาดใหญ่และปันผลสูงจะปลอดภัยกว่า
  • หุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากแนวโน้มเงินบาทอ่อนค่า อาทิ ASIAN, SAPPE
  • หุ้นกลุ่ม Defensive อาทิ BH, BDMS, ADVANC, AP