ดาวโจนส์ปิดบวก 67 จุด นักลงทุนจับตาผลการประชุมเฟด

03 พ.ค. 2565 | 23:42 น.

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวก 67.29 จุดในวันอังคาร (3 พ.ค.) ได้ปัจจัยหนุนจากการที่นักลงทุนเข้าซื้อหุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มธนาคาร ก่อนที่เฟดจะแถลงมติการประชุมในวันพุธตามเวลาสหรัฐ หรือในช่วงเช้าตรู่ของวันพฤหัสบดีตามเวลาไทย

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 33,128.79 จุด เพิ่มขึ้น 67.29 จุด หรือ +0.20%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,175.48 จุด เพิ่มขึ้น 20.10 จุด หรือ +0.48% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 12,563.76 จุด เพิ่มขึ้น 27.74 จุด หรือ +0.22%
          

ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังคงผันผวน โดยดัชนีหลักทั้ง 3 ดัชนีร่วงลงในช่วงแรก ก่อนที่จะปิดตลาดดีดตัวขึ้นเนื่องจากแรงช้อนซื้อ

ขณะที่นักลงทุนจับตาผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)ซึ่งจะมีการแถลงในเวลา 01.00 น.ของวันพฤหัสบดีที่ 5 พ.ค.ตามเวลาไทย ก่อนที่นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดจะจัดการแถลงข่าวในเวลา 01.30 น.ตามเวลาไทย

 

นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาดูว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยพร้อมกับปรับลดขนาดงบดุล (QuantitativeTightening : QT) ในการประชุมครั้งนี้หรือไม่ หลังจากเงินเฟ้อของสหรัฐพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 40 ปี
          

หุ้น 9 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดตลาดในแดนบวก นำโดยดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้น 2.9% ทั้งนี้ หุ้นเอ็กซอน โมบิล พุ่งขึ้น 2.06% หุ้นเชฟรอน เพิ่มขึ้น 1.76% หุ้นโคโนโคฟิลลิปส์ พุ่งขึ้น 3.12% หุ้นฮัลลิเบอร์ตัน เพิ่มขึ้น 2%
         

ดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารดีดตัวขึ้น 1.3% นำโดยหุ้นซิตี้กรุ๊ป พุ่งขึ้น 2.83% หุ้นเจพีมอร์แกน พุ่งขึ้น 2.14% หุ้นโกลด์แมน แซคส์ ดีดขึ้น 1.37% หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา พุ่งขึ้น 2.74% หุ้นเวลส์ ฟาร์กโก ปรับตัวขึ้น 1.12%
         

หุ้นไฟเซอร์ พุ่งขึ้น 1.97% หลังบริษัทเปิดเผยกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 1/2565 อยู่ที่ 1.62 ดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.47 ดอลลาร์ โดยได้แรงหนุนจากรายได้ในการจำหน่ายวัคซีนต้านโควิด-19 จำนวน 1.32 หมื่นล้านดอลลาร์ และยอดขายยาแพกซ์โลวิดจำนวน 1.5 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสดังกล่าว
         

นักลงทุนจับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนเม.ย.ของสหรัฐ โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวในวันศุกร์นี้ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ตัวเลขจ้างงานเดือนเม.ย.จะเพิ่มขึ้น 390,000 ตำแหน่ง และอัตราการว่างงานจะลดลงสู่ระดับ 3.5%