ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ "แข็งค่า" ที่ระดับ  33.46 บาท/ดอลลาร์

23 มี.ค. 2565 | 00:57 น.

ค่าเงินบาทในระยะสั้นยังคงผันผวน มีแนวต้านอยู่ใกล้โซน 33.60-33.75 บาท/ดอลลาร์ ผู้ส่งออกต่างมารอขายในช่วงดังกล่าว ขณะที่แนวรับจะอยู่ในช่วง 33.00-33.20 บาท/ดอลลาร์

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ  33.46 บาทต่อดอลลาร์แข็งค่าขึ้นจากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ  33.54 บาทต่อดอลลาร์
 

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน  ธนาคารกรุงไทย ระบุว่าสำแนวโน้มค่าเงินบาท เรามองว่า เงินบาทยังคงผันผวนในกรอบกว้าง อย่างไรก็ดี ภาวะตลาดเปิดรับความเสี่ยง อาจหนุนให้นักลงทุนต่างชาติทยอยกลับเข้ามาซื้อสุทธิหุ้นไทยมากขึ้นและหนุนให้เงินบาทสามารถแข็งค่าขึ้นได้บ้าง 
 

นอกจากนี้ เราเริ่มเห็น โฟลว์ซื้อบอนด์ระยะสั้นของนักลงทุนต่างชาติราว 2 พันล้านบาทในวันก่อนหน้า ซึ่งอาจเป็นสัญญาณที่บอกได้ว่า แรงขายบอนด์ระยะสั้นที่กดดันค่าเงินบาทในช่วงที่ผ่านมาอาจจบลง และต้องติดตามทิศทางฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติว่าจะกลับมาซื้อสุทธิบอนด์ระยะสั้นได้หรือไม่
 

ทั้งนี้ ในระยะสั้น เงินบาทยังคงมีแนวต้านของเงินบาทจะอยู่ใกล้โซน 33.60-33.75 บาทต่อดอลลาร์  ซึ่งเรายังคงเห็นบรรดาผู้ส่งออกต่างมารอขายเงินดอลลาร์ในช่วงดังกล่าว ขณะที่แนวรับจะอยู่ในช่วง 33.00-33.20 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งใกล้กับแนวรับเส้นค่าเฉลี่ย 100 วันและ 200 วัน 
 

มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.40-33.60 บาท/ดอลลาร์

 

นักลงทุนเริ่มทยอยรับรู้แนวโน้มการเร่งใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดของเฟด ซึ่งสะท้อนผ่านมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่คาดว่า มีโอกาสราว 67% ที่เฟดจะสามารถขึ้นดอกเบี้ยได้ถึง 0.50% ในการประชุมเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน ทำให้ผู้เล่นบางส่วนทยอยกลับเข้ามาซื้อหุ้นเทคฯ ที่มีผลประกอบการแข็งแกร่ง
 

อาทิ Alphabet (Google) +2.8%, Meta (Facebook) +2.4% เป็นต้น หนุนให้ ในฝั่งสหรัฐฯ ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวขึ้น +1.95% ส่วน ดัชนี S&P500 ปิดตลาด +1.13% นอกจากนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มธนาคารและการเงิน หลังจากที่บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามแนวโน้มเฟดเร่งใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวด  
 

อนึ่ง แม้ว่า ผู้เล่นในตลาดการเงินยังมีความกังวลต่อ ความไม่แน่นอนของสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครนรวมถึงการเจรจาสันติภาพระหว่างสองฝ่าย ทว่าผู้เล่นในตลาดก็เริ่มคลายกังวลโอกาสเกิด Stagflation หลังบรรดาประเทศยุโรปยังคงมีความเห็นที่ไม่ตรงกันในประเด็นคว่ำบาตรการนำเข้าพลังงานจากรัสเซีย ทำให้ ราคาน้ำมันดิบทยอยปรับตัวลดลงอีกครั้ง
 

อย่างไรก็ดี เรามองว่า ประเด็นดังกล่าวควรติดตามการประชุมระหว่าง สหรัฐฯ, ประเทศกลุ่ม EU, พันธมิตร NATO และกลุ่มประเทศ G7 ที่รวมถึงญี่ปุ่น ในวันพฤหัสฯ นี้ เพื่อจับตาท่าทีของนานาประเทศว่าจะมีการออกมาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซียเพิ่มเติมอย่างไร หรือจะมีการช่วยเหลือยูเครนในประเด็นใดบ้าง
 

ส่วนในฝั่งยุโรป ดัชนี STOXX50 ของยุโรป ปรับตัวขึ้นราว +1.14% จากแรงหนุนของหุ้นกลุ่ม Cyclical อาทิ หุ้นกลุ่มธนาคารและการเงิน ING +3.0% รวมถึงหุ้นกลุ่มเทคฯ ASML +2.4% หลังผู้เล่นในตลาดลดความกังวลโอกาสที่ยุโรปจะคว่ำบาตรการนำเข้าพลังงานจากรัสเซีย ซึ่งจะลดความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะ Stagflation และทำให้ธนาคารกลางยุโรป (ECB) สามารถทยอยปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในช่วงปลายปีได้ 
 

ส่วนทางด้านฝั่งตลาดบอนด์ ภาพรวมของตลาดการเงินที่ทยอยเปิดรับความเสี่ยงและท่าทีของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดที่ออกมาสนับสนุนการเร่งขึ้นดอกเบี้ย ยังคงหนุนให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง สู่ระดับ 2.38% ทั้งนี้ ตลาดอาจรับรู้แนวโน้มหรือโอกาสเฟดเร่งขึ้นดอกเบี้ยไปพอสมควรแล้ว ดังนั้น เรามองว่า ควรจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดว่าจะเปิดเผยรายละเอียดหรือให้มุมมองเกี่ยวกับ การปรับลดงบดุลของเฟดอย่างไร เนื่องจากประเด็นการปรับลดงบดุลอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อทิศทางของบอนด์ยีลด์ได้

 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 33.48 บาทต่อดอลลาร์ฯ แข็งค่าขึ้นเล็กน้อยกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 33.52 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยเงินบาทแข็งค่าขึ้นตามทิศทางสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาค และสินทรัพย์เสี่ยงในภาพรวม ขณะที่แรงหนุนเงินดอลลาร์ฯ ชะลอลง หลังจากที่ตลาดรับรู้สัญญาณความเป็นไปได้เกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากกว่า 50 basis points ในบางรอบการประชุมของเฟดไปบ้างแล้วบางส่วน 
 
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ คาดไว้ที่ 33.40-33.55 บาทต่อดอลลาร์ฯ  ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ สถานการณ์ยูเครน-รัสเซีย ทิศทางฟันด์โฟลว์ สถานการณ์โควิด ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด และตัวเลข ยอดขายบ้านใหม่เดือนก.พ. ของสหรัฐฯ
 

 


 

ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ทำให้ล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) ปรับตัวลงใกล้ระดับ 98.50 จุด อีกครั้ง หลังตลาดทยอยเปิดรับความเสี่ยงและลดการถือครองสินทรัพย์เสี่ยงลง นอกจากนี้ ภาพตลาดกลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น ที่หนุนให้ทั้ง เงินดอลลาร์รวมถึงบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ก็เริ่มกลับมากดดันราคาทองคำ ส่งผลให้ราคาทองคำย่อตัวลงสู่ระดับ 1,918 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่เราเชื่อว่า ผู้เล่นบางส่วนต่างรอจังหวะ buy on dip หากราคาทองคำย่อตัวใกล้แนวรับสำคัญแถว 1,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์
 

สำหรับวันนี้ ตลาดจะรอติดตามสถานการณ์สงครามรวมถึงการเจรจาสันติภาพระหว่างรัสเซีย-ยูเครน รวมถึง การประชุมระหว่างผู้นำสหรัฐฯ,พันธมิตร NATO, กลุ่มประเทศยุโรป รวมถึง กลุ่มประเทศ G7 ว่าจะมีท่าทีต่อสถานการณ์สงครามอย่างไร โดยเฉพาะประเด็นมาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซีย
 

และนอกเหนือจากภาวะสงคราม ในด้านข้อมูลเศรษฐกิจ ในฝั่งไทย ตลาดประเมินว่าแนวโน้มเศรษฐกิจโลกทยอยฟื้นตัวจากการระบาดของโอมิครอนจะช่วยหนุนให้ยอดการส่งออกของไทย (Exports) ในเดือนกุมภาพันธ์ โตกว่า 10%y/y ขณะเดียวกันยอดการนำเข้า (Imports) อาจขยายตัวราว +19%y/y จากแนวโน้มราคาสินค้าต้นทุนที่ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้โดยรวมดุลการค้าอาจขาดดุลไม่น้อยกว่า 1.8 พันล้านดอลลาร์ 
 

ซึ่งในระยะสั้นดุลการค้าของไทยยังมีโอกาสขาดดุลต่อเนื่องจากผลกระทบของสงครามที่จะกดดันให้ยอดการส่งออกอาจขยายตัวในอัตราชะลอลง ขณะที่ยอดการนำเข้าโดยเฉพาะการนำเข้าสินค้าพลังงาน/สินค้าโภคภัณฑ์พุ่งสูงขึ้น นอกจากนี้ ตลาดจะยังคงรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดต่อไป เพื่อวิเคราะห์มุมมองของเฟดต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและนโยบายการเงิน