หุ้นไทยเปิดตลาดร่วง 21 จุด ดัชนี 1,650 จุด ผวาสงครามยืดเยื้อ ยกระดับคว่ำบาตร

07 มี.ค. 2565 | 03:17 น.

หุ้นไทยเปิดตลาดเช้าวันนี้ ( 7 มี.ค.65) ดัชนี SET ร่วงกว่า 21 จุด หรือ -1.28% อยู่ระดับ 1,650.34 จุด มูลค่าซื้อขายกว่า 8,949 ล้านบาท ผวาสงครามยืดเยื้อ รัสเซียรุกต่อ สหรัฐและพันธมิตรยกระดับคว่ำบาตร เตรียมแบนนำเข้าน้ำมันดิบจากรัสเซีย

ตลาดหุ้นไทยเปิดตลาดเช้าวันนี้ ( 7 มี.ค.65) ดัชนี SET เมื่อเวลา 10.00.29 น.ร่วง 21.38 จุด หรือ -1.28%  อยู่ระดับ 1,650.34 จุด มูลค่าการซื้อขาย 8,949.37 ล้านบาท โดยดัชนีปรับสูงสุด 1,655.19 จุด และอยู่ระดับต่ำสุด   1,648.20 จุด


ดัชนีSET50 อยู่ระดับ 996.81 จุด ลดลง 12.87 จุด หรือ -1.27% มูลค่าการซื้อขาย 6,291.24 ล้านบาท  ดัชนีปรับสูงสุด 999.46 จุด และอยู่ระดับต่ำสุด 994.84 จุด

 

อัพเดตเมื่อเวลา 10.58 น. หุ้นไทย ปรับตัวลดลง 32.92 จุด หรือ -1.97% ดัชนี SET อยู่ระดับ 1,638.80 จุด   มูลค่าซื้อขาย กว่า  41,849 ล้านบาท ดัชนีปรับสูงสุด 1,655.19จุด และต่ำสุด 1,637.75 จุด    

 

ขณะที่ SET50 ยืนระดับ 990.08 จุด  ปรับลดลง 19.60 จุด หรือ -1.94% มูลค่าซื้อขาย27,257.47 ล้านบาท  ดัชนีสูงสุดที่ระดับ 999.46 จุด ต่ำสุดอยู่ระดับ 989.23 จุด 

 

อ่านเพิ่ม  :   "สงครามรัสเซีย-ยูเครน"ทุบหุ้นไทยเช้าดิ่งหนัก 43 จุด

บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ไทยพาณิชย์ คาดหุ้นไทย SET ปรับตัวลง โดยปัจจัยกดดันหลักยังมาจากสถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครนที่ยังดำเนินต่อ ในขณะที่สหรัฐ และพันธมิตร ดำเนินการคว่ำบาตรต่อ โดยเตรียมแบนการนำเข้าน้ำมันจากรัสเซีย คาด SET มีแนวรับถัดไปที่ 1650-1660 จุด ส่วนกรอบบนถูกจำกัดบริเวณแนวต้าน 1683 และ 1700 จุด  

 

กลยุทธ์การลงทุน Selective Buy หรือเก็งกำไรอย่างระมัดระวัง ส่วนพอร์ตหลักจุดซื้อเพิ่มรอคำแนะนำอีกครั้ง

 

ตลาดยังคงผันผวนจากสถานการณ์ความขัดแย้งรัสเซียและยูเครนซึ่งยากต่อการคาดการณ์ Downside โดยราคาพลังงาน (น้ำมัน ก๊าซ ถ่านหิน) ที่ปรับตัวสูงขึ้นจะส่งผลต่อต้นทุนของ บจ. ที่ไม่สามารถปรับราคาขายได้เร็วเท่ากับต้นทุน กลยุทธ์การลงทุนแนะนำ Selective Buy ในหุ้นคุณภาพและหุ้นเชิงรับที่ได้ประโยชน์จากกระแสเงินไหลเข้าและมีอำนาจกำหนดราคาสูง

 

  •  Core Portfolio : คงน้ำหนักพอร์ตไว้ที่ 50%  ยังคงปล่อยให้สินทรัพย์ทำงานต่อ(Let Profit Run ) สำหรับหุ้นที่ผลการดำเนินงานมีแนวโน้มเติบโตดี มีผลกระทบจำกัดจากปัจจัยภายนอกอย่าง KBANK AMATA LH GULF ADVANC ONEE
  • Weekly Portfolio : เก็งกำไรน้ำหนักไม่เกิน 25% ในหุ้นที่ได้รับผลกระทบจำกัดจากต้นทุนพลังงานเพิ่มขึ้น / มี Pricing Power สูง/ Fund Flow มีแนวโน้มไหลเข้า อย่าง BDMS BJC ADVANC CPALL ขณะที่นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงและมองสถานการณ์ในยูเครนยืดเยื้อ ยังเก็งกำไรเล่นสั้นได้ในหุ้นน้ำมันอย่าง PTT PTTEP และ BCP
  • ขณะที่แนะนำเพิ่มความระมัดระวังการลงทุนหรือลดน้ำหนักการถือครองลง สำหรับหุ้นที่คาดผลประกอบการได้รับผลกระทบเชิงลบอย่างมีนัยฯ (เกิน 10%) จากต้นทุนพลังงานที่ปรับขึ้นแรง แต่ราคาหุ้นยังไม่สะท้อนปัจจัยลบเท่าที่ควร อย่าง KEX AAV EPG STANLY DCC SCC SCCC CBG


 

  • Daily Focus : แนะนำ PTTEP ได้อานิสงส์ตรงจากราคาน้ำมันปรับขึ้นแรง โดยเช้านี้ราคาน้ำมัน Brent ปรับขึ้นและทำจุดสูงสุดที่ US$139.13/barrel สูงสุดในรอบ 13 ปี 8 เดือน (นับตั้งแต่ 16 ก.ค. 2551) และ RCL, PSL หลังการปิดน่านฟ้าของรัสเซียทำให้ค่าขนส่งทางอากาศพุ่งขึ้นแรง หนุนให้ดีมานด์และค่าระวางขนส่งทางเรือจะปรับขึ้นแรงตาม
     

 

ด้านนายวีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า ดัชนีหุ้นไทยเปิดตลาดเช้าวันนี้ปรับตัวลงแรง จากนักลงทุนกังวลสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครนอาจยืดเยื้อ ทำให้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง  อย่างไรก็ตามบ้านเราได้หุ้นกลุ่มน้ำมันและถ่านหิน เช่น บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) และบมจ.บ้านปู (BANPU) พยุงตลาดไว้ได้ระดับหนึ่ง หลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI พุ่งเหนือระดับ 125 ดอลลาร์/บาร์เรลแล้ว

 

แนะนำนักลงทุนหาแหล่งพักเงินในหุ้นปลอดภัย (Defensive Stock) เช่น กลุ่มโรงพยาบาล ซึ่งเป็นหุ้นที่ปรับตัวลงน้อย

 

พร้อมให้กรอบแนวรับที่ 1,640-1,645 จุด รับถัดไปที่ 1,620 จุด และแนวต้าน 1,660-1,665 จุด