บลจ.ทิสโก้ส่ง ‘TBRAND’ ลุยแบรนด์ชั้นนำระดับโลก

31 ม.ค. 2565 | 10:52 น.

บลจ.ทิสโก้เสิร์ฟ “กองทุนเปิด ทิสโก้ World Brands” (TBRAND) ลงทุนหุ้นบริษัทที่เป็นเจ้าของแบรนด์ชั้นนำทั่วโลก ทั้งแบรนด์ใหญ่ แบรนด์ใหม่อนาคตไกล และแบรนด์ดิจิทัล เพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนยุคเงินเฟ้อพุ่ง IPO 1-9 ก.พ. 2565

นายสาห์รัช ชัฏสุวรรณ ผู้อำนวยการสายการตลาดและที่ปรึกษาการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า ช่วงที่ตลาดหุ้นยังมีความผันผวนจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา(เฟด) เตรียมปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ประกอบกับปัญหาเงินเฟ้อราคาสินค้าแพงกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก นักลงทุนจึงเริ่มมองหาสินทรัพย์การลงทุนที่มีงบการเงินที่แข็งแกร่ง มีศักยภาพในการดำเนินธุรกิจที่โดดเด่น และมีผลให้ผลประกอบการทั้งในแง่รายได้และกำไรเติบโตดีอย่างสม่ำเสมอ

 

บลจ.ทิสโก้ส่ง ‘TBRAND’  ลุยแบรนด์ชั้นนำระดับโลก

บลจ.ทิสโก้มองว่า ธุรกิจที่มี “แบรนด์” แข็งแกร่งสามารถตอบโจทย์ดังกล่าวได้ เพราะธุรกิจเหล่านี้มักจะมีอำนาจในการกำหนดราคาสินค้า จากการเป็น “เจ้าตลาด” หรือครองส่วนแบ่งการตลาดในระดับสูง อีกทั้ง ผู้บริโภคมีความเชื่อถือในคุณภาพและบริการจึงทำให้เกิดการซื้อซ้ำ ส่งผลให้ธุรกิจที่มีแบรนด์ที่แข็งแกร่งสามารถสร้างผลประกอบการที่ดีได้อย่างสม่ำเสมอ

ดังนั้น เพื่อเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีให้ลูกค้า บลจ.ทิสโก้จึงเปิดเสนอขาย กองทุนเปิด ทิสโก้ World Brands (TBRAND) ความเสี่ยงระดับ 6 (เสี่ยงสูง) เน้นลงทุนในบริษัทที่เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้า (Brand) ชั้นนำในตลาดและมีคุณค่าเหนือระดับ บริษัทที่นำเสนอผลิตภัณฑ์และการบริการที่มีชื่อเสียง มีคุณภาพสูงและให้ความหรูหรา

 

 

หรือบริษัทที่มีรายได้ส่วนใหญ่จากการโฆษณาประชาสัมพันธ์ การจัดหาสินค้าและบริการ การผลิตสินค้าและบริการ หรือการจัดหาเงินทุนที่เกี่ยวข้องกับเครื่องหมายการค้า (Brand) ผ่านหน่วยลงทุนของกองทุน LO Funds - World Brands ชนิดหน่วยลงทุน Syst. NAV Hdg, (USD) N (กองทุนหลัก) บริหารและจัดการโดย Lombard Odier Funds (Europe) S.A. ลงทุนขั้นต่ำ 1,000 บาท เปิดเสนอขายครั้งแรก (IPO) วันที่ 1 – 9 กุมภาพันธ์ 2565

จุดเด่นของกองทุน TBRAND คือ ได้กระจายการลงทุนไปยังหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรมที่ “แบรนด์” มีผลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค เช่น กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย กลุ่มการเงิน กลุ่มเทคโนโลยี อีกทั้งยังผสมผสานระหว่างหุ้นคุณค่า หุ้นเติบโต และหุ้นดิจิทัลไว้ด้วยกัน โดยกลุ่มแรกที่กองทุนหลักเน้นลงทุน คือ หุ้นแบรนด์ชั้นนำระดับโลก (Global Brand) ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่ม ‘หุ้นคุณค่า’ เพราะมีรายได้และกำไรเติบโตอย่างต่อเนื่องตามศักยภาพในการแข่งขันและความสามารถในการกำหนดราคาที่สูงกว่าธุรกิจทั่วไป มีงบการเงินที่แข็งแกร่งและครองส่วนแบ่งการตลาดในระดับสูง เช่น  Hermes, Nestle และ Ferrari

 

นอกจากนั้น กองทุนหลักยังลงทุนในบริษัทเจ้าของแบรนด์สินค้าซึ่งเป็นที่รู้จักในกลุ่มผู้บริโภคในระดับหนึ่ง (Upcoming Brand) โดยธุรกิจกลุ่มนี้จัดเป็นหุ้นเติบโต มีโอกาสสร้างรายได้และกำไรเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด เพราะส่วนใหญ่เป็นสินค้าและบริการนำนวัตกรรมเข้ามาตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค และกำลังกินส่วนแบ่งทางการตลาดจากแบรนด์ขนาดใหญ่

 

เช่น PROYA ผู้นำแบรนด์เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ดูแลผิวสัญชาติจีน และ lululemon ผู้นำแบรนด์เครื่องแต่งกายกีฬาสัญชาติแคนาดา เป็นต้น และเพื่อให้ผลตอบแทนเติบโตไปตามเมกะเทรนด์ของโลกยังลงทุนในบริษัทที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวข้องกับดิจิทัล (Digital Brand) รวมถึงหุ้นที่เกี่ยวข้องกับเมตาเวิร์สด้วย เช่น Adobe, Microsoft, เป็นต้น  

 

จุดเด่นของกองทุนนี้คือ การผสานหลากหลายธุรกิจไว้ด้วยกัน และยังช่วยจัดพอร์ตหุ้นเติบโตและหุ้นคุณค่าไว้ในกองทุนเดียว โดยผู้จัดการกองทุนมีความเชี่ยวชาญในการคัดเลือกหุ้นแบรนด์ชั้นนำ ด้วยประสบการณ์ในการบริหารกองทุนนี้มากว่า 13 ปี มีวิธีการคัดเลือกหุ้นที่เข้มข้นจากการคัดกรองหุ้นที่คาดว่าจะเป็นแบรนด์ทรงคุณค่าในระยะ 10 ปีข้างหน้า

 

โดยเป็นกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเมตาเวิร์สและดิจิทัล และกลุ่มธุรกิจที่ได้รับประโยชน์จากการจับจ่ายใช้สอยของคนเอเชียโดยเฉพาะการใช้จ่ายของชาวจีนซึ่งปัจจุบันประชากรจีนกลุ่ม Millennial และ Gen-Z จะเป็นกลุ่มหลักจับจ่ายสินค้า Luxury ซึ่ง Lombard Odier Funds คาดว่าแนวโน้มนี้จะเกิดขึ้นกับประเทศ อื่นๆ ในเอเชียอีกด้วย

 

นอกจากนั้น ผู้จัดการกองทุนสามารถปรับสัดส่วนของหุ้นในกลุ่ม Global Brand, Upcoming Brand และ Digital Brand ได้อย่างอิสระเพื่อให้เหมาะสมตามแต่ละสถานการณ์ ขณะที่การกระจายการถือหุ้นในพอร์ตข้อมูล จาก Lombard Odier Investment Managers ณ วันที่ 30 ธันวาคม 2564 พบว่า ผู้จัดการกองทุนหลักจะโฟกัสกับหุ้นเพียง 30-60 ตัว และแต่ละตัวจะถือไม่เกิน 5% ของพอร์ตและหุ้น 10 อันดับแรกจะถือไม่เกิน 50% ของพอร์ตลงทุน ซึ่งจะช่วยกระจายความเสี่ยงและช่วยลดความผันผวนของพอร์ตรวมได้