โอไมครอน ป่วนตลาดหุ้นไทยอย่างไร เช็คกลุ่มหุ้นเสี่ยง-ได้ประโยชน์

07 ธ.ค. 2564 | 07:37 น.

"โอไมครอน" กระทบตลาดหุ้นไทยอย่างไร หลังไทยเจอผู้ป่วยติดเชื้อรายแรก เปิดมุมมองโบรกวิเคราะห์กลุ่มหุ้นเสี่ยง-ได้ประโยชน์ ด้านประธาน ฯ FETCO "ไพบูลย์" ฟันธงดัชนี SET ปี 65 "ขาขึ้น" เป้า 1800 จุด

หลังจากประเทศไทย พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอน รายแรก โดยได้รับการยืนยันจากกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เมื่อวันที่ 6 ธ.ค. 64  และปัจจุบันอยู่ระหว่างติดตามกลุ่มผู้เสี่ยงจากเคสนี้ 17 ราย  ล่าสุด นายสาธิต​ ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการสธ. ระบุว่า พบผู้ติดเชื้อมีผลบวก 1 รายในกลุ่มเสี่ยงจากเคสนี้ โดยจะทราบผลว่าเป็นเชื้อโอไมครอนหรือไม่ ในอีก 3-4 วัน  ส่วนผลตรวจ 16 รายเป็นลบ  ขณะที่ทั่วโลก พบผู้ติดเชื้อโอไมครอนล่าสุด มีถึง 54 ประเทศ

 

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย ( FETCO )  เปิดเผย  ผลกระทบเชื้อไวรัสโอไมครอน ต่อตลาดหุ้นไทยว่า เป็นปัจจัยที่ต้องติดตาม  ทั้งในเรื่องการกลับมาระบาดของโควิด-19 รอบใหม่ในยุโรป ความกังวลต่อการระบาดและกลายพันธุ์อย่างรวดเร็วของไวรัสสายพันธุ์โอไมครอน ซึ่งวัคซีนที่มีอยู่ในปัจจุบันอาจไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอที่จะช่วยควบคุมการระบาด และหลายประเทศเริ่มประกาศการจำกัดการเดินทางเข้าประเทศอีกครั้ง

 

โอไมครอนป่วน ดัชนีความเชื่อมั่นลดลง 19.9%

 

โดยผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index : ICI) ในเดือน พ.ย. 64 พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน ในอีก 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ระดับ 135.16 ปรับตัวลดลง 19.9% จากเดือนก่อนหน้ามาอยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรง” นักลงทุนคาดหวังการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศเป็นปัจจัยหนุนมากที่สุด รองลงมาคือแผนการฉีดวัคซีนเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ Covid-19 และการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว

 

ขณะที่ปัจจัยซึ่งฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด ได้แก่ ความกังวลต่อสถานการณ์ระบาดของไวรัสสายพันธุ์ใหม่ "โอไมครอน" รองลงมาคือสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศและการไหลออกของเงินทุน โดยกลุ่มที่น่าสนใจลงทุนได้แก่ กลุ่ม เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) และกลุ่มที่ลดลงน้ำหนักการลงทุนคือกลุ่ม แฟชั่น (FASHION)
 

อย่างไรก็ดีประธานกรรมการ FETCO ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยปี 2565 ว่าเป็นขาขึ้น เป้าหมายดัชนี SET ที่ 1,800 จุด  ปัจจัยหนุนมาจาก ภาวะเศรษฐกิจไทยที่ขยายตัว 4%  ภาคท่องเที่ยวที่เริ่มฟื้นกลับมา ประกอบกับผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนไทย (บจ.)ที่คาดจะเติบโตเฉลี่ยที่ 12% ซึ่งเป็นระดับที่สามารถดึงดูดเงินทุนให้กลับเข้ามาลงทุนได้ โดยประเมินเม็ดเงินไหลเข้าจากต่างชาติ  (Fund Flow )ในปีหน้าไม่น้อยกว่า 1 แสนล้านบาท หรือประมาณ 10,000 ล้านบาทต่อเดือน  

 

โดยหุ้นที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากเศรษฐกิจฟื้นตัว ได้แก่กลุ่ม  Re-opening ที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากการนักท่องเที่ยวเพิ่ม หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ และกลุ่มหุ้นโรงพยาบาล รวมถึงกลุ่ม Defensive ที่ควรมีติดพอร์ตไว้เพื่อกระจายความเสี่ยง 

 

บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคทีบีเอสที ระบุในบทวิเคราะห์ ประเมินผลกระทบโอไมครอน เป็นปัจจัยกดดัน SET Index มากขึ้น หลังจากพบผู้ติดเชื้อรายแรกในประเทศไทย โดยในกรณี worst case หากเกิดการแพร่ระบาดอย่างรุนแรงในประเทศ และมีการ lockdown เกิดขึ้น เรามองว่าหุ้นกลุ่ม domestic play ที่เกี่ยวข้องกับการเปิดเมืองจะได้รับผลกระทบมากขึ้น

 

หุ้นที่คาดว่าจะ Underperform มากสุด จากการพบผู้ติดเชือ้ Covid-19 สาย
พันธุ์ โอไมครอน รายแรกในประเทศไทย ได้แก่ PLANB/VGI จากจำนวนคนออกจากบ้านน้อยลง กระทบต่อ OOH media, CENTEL/ERW/AAV จากนักท่องเที่ยวในประเทศลดลง และ BEM จากจำนวนผู้โดยสารลดลง


( - ) Sector ที่มีโอกาส Underperform มากสุด ได้แก่

 

  • 1) Media: MAJOR, PLANB, VGI
  • 2) Tourism & Aviation: MINT, SHR, ERW, CENTEL, AOT, AAV, BA, SPA
  • 3) Ground transportation: BEM, BTS
  • 4) Energy: TOP, SPRC, ESSO, BCP, IRPC
  • 5) Bank & Finance: KBANK, SCB, MTC, SAWAD, TIDLOR, AEONTS, KTC
  • 6) Commerce: CRC, CPALL
  • 7) Industrial Estate: AMATA, WHA

หุ้นที่คาดว่าจะ Outperform มากสุด จากการพบผู้ติดเชือ้ Covid-19 สายพันธุ์โอไมครอนได้แก่

 

  • BCH, CHG เนื่องจากได้ประโยชน์จากการรักษาผู้ป่วยโควิด
  • SMD จากความต้องการเครื่องมือแพทย์สูงขึ้น หากโควิดมีการระบาดรุนแรง
  •  STGTได้ประโยชน์จากความต้องการใช้ถุงมือยางในระดับสูง 
  • MEGA จากความต้องการบริโภควิตามินเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันมากขึ้น

 

( + ) Sector ที่มีโอกาส Outperform มากสุด ได้แก่

 

  • 1) Healthcare & Medical equipment: BCH, CHG, SMD, STGT
  • 2) Food supplement: MEGA
  • 3) IT Distributor: COM7, SYNEX, SIS
  • 4) Global play: ASIAN, TU, KCE, HANA, NER, SUN