ประเด็นสำคัญ คือ bond yields

15 มี.ค. 2564 | 22:00 น.

เราได้ปรับลดเป้าหมาย SET Index ล่วงหน้า 12 เดือนเป็น 1,575 จุดจาก 1,610 จุด หลังจากเรารวมประเด็นการปรับตัวสูงขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (bond yield) จากอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นจากปัจจัยด้านต้นทุน (cost push) และอุปทานพันธบัตรที่เพิ่มขึ้นมาเพื่อสนับสนุนการขาดดุลทางการคลัง ในด้าน upside ของตลาดอาจถูกจำกัดจาก bond yield ที่เพิ่มสูงขึ้นในระยะสั้น ก่อนที่ market EPS จะฟื้นตัวขึ้นมาชดเชยผลกระทบจากอัตราคิดลดที่สูงขึ้น ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ถือเป็นเรื่องปกติในช่วงที่เศรษฐกิจฟื้นตัว และเราก็คาดว่า Fed จะยังไม่ดำเนินการใดๆ กับเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นจนกว่าตลาดการจ้างงานจะกลับสู่ระดับก่อนเกิดวิกฤติโควิด-19 

ทางด้านสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ(สบน.) จะออกพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้นแทนระยะยาว เพื่อลดต้นทุนดอกเบี้ยลง (funding cost) ภายใต้สภาวะที่เส้นโค้งอัตราผลอตบแทน(yield curve) มีความชันสูงขึ้น ส่วน upside ที่อาจเกิดขึ้นกับตลาดจะมาจากความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนที่กลับสู่สภาวะปกติ ส่วนกรอบเป้าหมาย SET Index ในระยะสั้นเราคาดว่าจะอยู่ระหว่าง 1,468 และ 1,545 อิงอัตราส่วนต่างผลตอบแทนตลาดและพันธบัตร (EYG) ในกรอบ -0.5SD ถึง -0.625SD

ด้วยวิธีการประเมินแบบ EYG ทำให้ SET Index ที่ 1,497 จุดสะท้อนถึง bond yield ไทยระยะ 10 ปีที่ก้าวกระโดดขึ้นเป็น 1.80% เทียบกับปัจจุบันที่ 1.6% และ EPS ล่วงหน้า 12 เดือนที่ 79.80 เมื่ออิงสมมติฐาน market EPS ปี 2565 ที่ 91.53 และ bond yield ไทยระยะ 10 ปีที่ 1.80% เป้าหมาย SET Index จะปรับเพิ่มเป็น 1,700 จุด 

 

กลุ่มที่ได้ประโยชน์หลักๆ จาก bond yield และเงินเฟ้อที่สูงขึ้นคือ กลุ่มธนาคาร ประกันชีวิต พลังงาน สินค้าโภคภัณฑ์ นิคมอุตสาหกรรม โรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน อสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ ค้าปลีก และขนส่งมวลชน ส่วนที่คาดว่า จะได้รับผลกระทบเชิงลบจากประเด็นเดียวกันนี้คือ กลุ่มธนาคารขนาดเล็ก การเงิน ปิโตรเคมี สถานีบริการนํ้ามัน ผู้รับเหมา โรงไฟฟ้าพลังงานดั้งเดิม อิเล็กทรอนิกส์ ขนส่ง อาหารและเครื่องดื่ม ปศุสัตว์ REITs และ ICTs 

เรายังคงมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทย เพราะ 1.ประเทศพึ่งพากลุ่มท่องเที่ยวสูง (13% ต่อ GDP) ซึ่งมองว่า จะได้ประโยชน์อย่างมากจากความพร้อมด้านวัคซีนต้านโควิด-19 2.กลุ่มที่พึ่งพาการส่งออก (60% GDP) ท่ามกลางการฟื้นตัวของการค้าโลก 3.กระแสเงินทุนจากต่างชาติ และ 4.ดัชนีที่ยังเคลื่อนไหวช้าเมื่อเทียบตลาดหุ้นอื่นๆ ของโลก (SET Index ให้ผลตอบแทน -8.3% เทียบกับ MSCI ACWI ที่ +14.2% ในปี 2563) โดยมีปัจจัยเสี่ยงต่อมุมมองเชิงบวกของเราคือประเด็นความพร้อมด้านวัคซีน อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น การชะลอตัวของวัฏจักรโลกจากการเข้มงวดด้านมาตรการเครดิตของจีน และความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน 

กลุ่มอุตสาหกรรมและหุ้นรายตัวที่เราชอบ ได้แก่ กลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ (KTB และ SCB) โดยอัตราตอบแทนพันธบัตรที่มากขึ้นจะช่วยให้กลุ่มธนาคารสามารถเพิ่มการเติบโตของสินเชื่อและอัตรากำไรได้เพราะ 1.แต่ละบริษัทอาจจะหาแหล่งเงินทุนจากการกู้เงินจากธนาคารมากกว่าออกหุ้นกู้ที่มีต้นทุนดอกเบี้ยสูงกว่าและ 2.ภาวะเงินเฟ้อจะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นสูงขึ้นซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้ดอกเบี้ยสุทธิของกลุ่มธนาคารให้สูงขึ้น

กลุ่มประกัน (BLA) ซึ่งจะได้ประโยชน์จากเส้นโค้งผลตอบแทนพันธบัตร (yield curve) ที่ชันตัวขึ้น, กลุ่มอิงประเด็นวัคซีน (BDMS CPN AWC และ MINT) คาดการจัดจำหน่ายวัคซีนจะเป็นประโยชน์ต่อหุ้นที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 อย่างหนักในก่อนหน้านี้ ขณะที่บริษัทเหล่านี้ได้ดำเนินมาตรการควบคุมต้นทุนอย่างเข้มงวดมาตลอด ทำให้มีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) ที่ลดลง ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการดำเนินงานเมื่อทิศทางรายได้กลับมาในปี 2564 และหุ้นโมเมนตัมประเด็นกำไรปี 2564 (KCE) เราคาดว่า KCE จะรายงานอัตราการเติบโตของกำไรที่ 93% YoY  ในปี 2564 จาก backlog ระดับสูงและการขยายกำลังการผลิต 

 

คอลัมน์มันนี่ดีไอวาย

สุนทร ทองทิพย์

นักกลยุทธ์การลงทุนบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย

ที่มา : หน้า 14 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3,661 วันที่ 14 - 17 มีนาคม พ.ศ. 2564