ตลาดเอเชียโอกาสการลงทุนที่ไม่ควรมองข้าม

21 ก.พ. 2564 | 21:15 น.

ภาพรวมเศรษฐกิจปี 2563 ที่ผ่านมา ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ซึ่งนำไปสู่มาตรการ lockdown ที่เข้มงวดเพื่อควบคุมการแพร่ระบาด ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดชะงัก และนำไปสู่การปรับตัวลดลงของดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลก ซึ่งแตะจุดตํ่าสุดในรอบปีช่วงเดือนมีนาคม 2563 อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นทั่วโลกเริ่มมีแนวโน้มฟื้นตัวในช่วงครึ่งหลังของปี 2563 จากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้น สังเกตได้จากดัชนี PMI ของประเทศหลักส่วนใหญ่พลิกกลับมาอยู่ในเกณฑ์ขยายตัว 

ปัจจัยที่สนับสนุนการฟื้นตัวของตลาดหุ้น เช่น ความคืบหน้าของการพัฒนาวัคซีนต้าน COVID-19 มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโนยบายการเงินและการคลังยังมีออกมาให้เห็นอยู่อย่างต่อเนื่อง ทั้งการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับตํ่า และการทำ QE ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยหนุนให้ตลาดหุ้นโดยรวมปรับเพิ่มขึ้น และช่วยบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจได้ แม้ปัจจุบันความกังวลของการแพร่ระบาดรอบใหม่ ยังคงเป็นปัจจัยกดดันต่อเศรษฐกิจ แต่นักลงทุนส่วนใหญ่ก็ยังให้นํ้าหนักต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะยาวมากกว่า อีกทั้งผลการเลือกตั้งของผู้นำสหรัฐฯ ที่ออกมาเป็นนายโจ ไบเดน ยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยบวกที่น่าจะส่งผลดีต่อตลาดโดยรวม โดยเฉพาะตลาดในฝั่งเอเชีย เพราะท่าทีที่ค่อนข้างผ่อนปรนและประนีประนอมต่อประเด็น
สงครามทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ

สำหรับตลาดหุ้นในเอเชีย นับเป็นหนึ่งภูมิภาคที่น่าสนใจลงทุน คาดว่าในปีนี้น่าจะได้รับผลบวกจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก เนื่องจากตลาดหุ้นเอเชียน่าจะได้รับผลบวกจากปัจจัยดังต่อไปนี้ (1)ข่าวดีจากการพัฒนาวัคซีนต้าน COVID-19 (2) การเติบโตของตลาด Semiconductor และ (3) ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนมีแนวโน้มผ่อนคลายลง นอกจากนี้ตลาดหุ้นเอเชียยังได้รับอานิสงส์จากแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจจีนที่สามารถฟื้นตัวจากการแพร่ระบาด COVID-19 ได้รวดเร็วกว่าประเทศพัฒนาแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นแรงงานในกลุ่มประเทศ เอเชียยังมีค่าแรงที่ค่อนข้างถูกเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่นๆ ทำให้เป็นกลุ่มประเทศที่น่าสนใจในการร่วมมือทางการค้าด้วย 

กลุ่มบริษัทเทคโนโลยีในเอเชียยังมีความน่าสนใจสูง อาทิ Tencent, Alibaba, Samsung และ TSMC ซึ่งมีอัตราการเติบโตของยอดขายเฉลี่ย3ปีย้อนหลังสูงกว่ากลุ่มบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำในสหรัฐฯ ขณะที่มูลค่าพื้นฐาน (12-month Forward P/E) ที่ถูกกว่า อีกทั้ง ตลาดหุ้นเอเชียยังได้รับแรงหนุนจากการเติบโตของ Semiconductor ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญในเอเชีย ข้อมูลในตลาดชี้ให้เห็นว่า ระดับสินค้าคงคลังยังอยู่ในระดับตํ่า จึงเป็นโอกาสดีที่หนุนให้บริษัทผู้ผลิตชิปเร่งผลิตสินค้าออกมา เพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้น ท่ามกลางกระแสเทคโนโลยี 5Gที่เติบโตอย่างรวดเร็ว 

นักวิเคราะห์คาดว่า รายได้ของผู้ผลิต Smartphone ที่ใช้ 5G จะเติบโตสูงถึง18% CAGR ในปี2021-2023 นับเป็นปัจจัยเร่งการเติบโตของ Semiconductor และตลาดหุ้นเอเชีย แม้กลุ่มประเทศในเอเชียจะได้รับวัคซีนป้องกัน COVID-19 ช้ากว่ากลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว แต่ Earnings และ Valuation ยังมีความน่าสนใจกว่า ประกอบกับ ค่าเงินที่มีแนวโน้มแข็งค่ามากขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเงินสกุลดอลล่าร์สหรัฐฯ ส่งผลให้เงินทุนเคลื่อนย้ายมีแนวโน้มจะไหลเข้ามาสู่กลุ่มประเทศเอเชียได้อย่างต่อเนื่อง 

สำหรับนักลงทุนที่สนใจลงทุนหุ้นในกลุ่มประเทศเอเชีย ปัจจุบันมีบางบริษัทจัดการได้เสนอทางเลือกให้กับนักลงทุน โดยคัดสรรกองทุนที่เน้นลงทุนในธีมการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับการฟื้นตัวและเติบโตของตลาดเอเชีย โดยกระจายตัวอยู่ในอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง เช่น Consumer Discretionary, Communication ServicesและConsumer Staples ในหลากหลายประเทศ อาทิเช่น จีน อินเดีย ไต้หวัน และเกาหลีใต้ โดยนักลงทุนควรศึกษานโยบายลงทุนและทำความเข้าใจความเสี่ยงของการลงทุนในกองทุนประเภทต่างๆ ก่อนที่จะลงทุน 

 

คอลัมน์ยังอีโคโนมิสต์

โดย : ณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร 

บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด 

 

 

หน้า 14 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3,655 วันที่ 21 - 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564