จากการที่กลุ่มบีทีเอส ชนะประมูลอู่ตะเภา ตามที่หนังสือพิมพ์ "ฐานเศรษฐกิจ" นำเสนอ..."กองทัพเรือ เปิดซอง3 ประมูลพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา กลุ่มบีทีเอส-บางกอกแอร์เวย์ส-ชิโน-ไทย เสนอผลตอบแทนสูงสุดกว่าแสนล้านบาท ทิ้งห่างกลุ่ม แกรนด์คอนโซเตียมที่เสนอหลักหมื่นล้านบาท ขณะที่กองทัพเรือคาด 5.9 หมื่นล้านบาท"
บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย ) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า จะเป็นบวกกับทั้ง 3 หลักทรัพย์ ซึ่งถือหุ้นในกิจการร่วมค้า BBS ซึ่งประกอบด้วย บริษัทการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (บมจ.) ( BA ) 45% , บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ ( BTS) 35% และ บมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น ( STEC) 20%
แต่เป็นลบกับกิจการร่วมค้า แกรนด์คอนโซเตียม ที่แพ้การประมูล ซึ่งประกอบด้วย บมจ.แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้ ( GRAND) 80% , บมจ. เอเชีย เอวิเอชั่น ( AAV) 10% และ บมจ. คริสเตียนีและนีลเส็น (ไทย) (CNT ) 10% โครงการนี้เป็นการร่วมทุนภาครัฐกับเอกชน (PPP) มูลค่ารวม 2.9 แสนล้านบาท เพื่อพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาให้เป็นสนามบินนานาชาติ รองรับ EEC ในอนาคต
คำแนะนำ: แนะนำ ซื้อ ทั้ง BTS (ราคาพื้นฐาน 13.72 บาท ยังไม่รวมอู่ตะเภา) และ STEC (ราคาพื้นฐาน 22.00 บาท) สำหรับ BTS นอกจากประสบความสำเร็จในการขยายธุรกิจมายังสาธารณูปโภคคือ ล่าสุดคือ มอเตอร์เวย์ ก็สามารถมาสู่ธุรกิจสนามบิน เปิดโอกาสทางธุรกิจอีกมาก ส่วน STEC ก็มีโอกาสได้งานก่อสร้างโยธา คาดว่ามูลค่างาน 80 พันล้านบาท เฟสแรก 20 พันล้านบาท ใช้เวลาก่อสร้าง 3 ปี แม้อาจจะมีความกังวลตามมาเรื่อง การต้องใช้เงินลงทุนสูง แต่เนื่องจากมีฐานะการเงินดีทั้งสองหลักทรัพย์ จึงคาดว่าจะยังสามารถบริหารจัดการได้
ทั้งนี้ ราคาปิดหุ้น BTS ปิดเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2562 ที่ 13.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาท หรือ + 0.75% ส่วนราคาหุ้น STEC ปิดที่ 20.40 บาท เพิ่มขึ้น 0.20 บาท หรือ + 0.99%