"บลจ.ไทยพาณิชย์" จ่ายปันผลกอง "SCBINDIA" 0.1604 บาท

21 มี.ค. 2562 | 11:50 น.

Thansettakij เว็บไซต์ข่าวฐานเศรษฐกิจ ผนวกไลฟ์สไตล์ Start up SMEs อสังหาริมทรัพย์ การเงิน การลงทุน การตลาด เศรษฐกิจ เทคโนโลยี Breaking News อัพเดตข่าวล่าสุดที่นี่

บลจ.ไทยพาณิชย์ จ่ายปันผลกอง "SCBINDIA" 0.1604 บาทต่อหน่วย หลังจากจ่ายระหว่างการไปแล้ว 0.1462 บาทต่อหน่วย

นายณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมจ่ายเงินปันผลกองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นอินเดีย (SCBINDIA) สำหรับผลการดำเนินงานระหว่างวันที่ 1 มี.ค. 2561 - 28 ก.พ. 2562 และกำไรสะสมให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนในวันที่ 22 มี.ค. 2562 อัตรา 0.1604 บาทต่อหน่วย หลังจากได้จ่ายปันผลระหว่างกาลไปแล้ว 0.1462 บาทต่อหน่วย เมื่อวันที่ 25 ก.ย. 2561 รวมเป็นยอดเงินจ่ายปันผลสำหรับงวดผลการดำเนินงานดังกล่าว 0.3066 บาทต่อหน่วย ซึ่งเมื่อนับตั้งแต่จัดตั้งกองทุน SCBINDIA มีการจ่ายปันผลรวม 0.6950 บาทต่อหน่วย

 

"บลจ.ไทยพาณิชย์" จ่ายปันผลกอง "SCBINDIA" 0.1604 บาท

 

ทั้งนี้ กองทุน SCBINDIA มีนโยบายเน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของ iShares India 50 ETF ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ (USD) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ซึ่งซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ ประเทศสหรัฐฯ กองทุนหลักบริหารโดย BlackRock และมีนโยบายลงทุนในหุ้นที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์อินเดีย (CNXNIFTY) เพื่อให้ผลการดำเนินงานของกองทุนก่อนหักค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนี CNXNIFTY โดยมีผลการดำเนินงานตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน อยู่ที่ 6.46% ย้อนหลัง 3 เดือน อยู่ที่ 10.05% ย้อนหลัง 6 เดือน อยู่ที่ 6.00% และย้อนหลัง 1 ปี อยู่ที่ 6.31% (ข้อมูล ณ วันที่ 18 มี.ค. 62)
 

"กองหุ้นอินเดีย ช่วงเดือน มี.ค. ถึงเดือน ส.ค. 2561 ได้ปรับตัวสูงขึ้น โดยได้รับแรงสนับสนุนมาจากนโยบายของรัฐบาล ที่มีการปรับลดภาษีสินค้าและการบริการกว่า 50 รายการ รวมไปถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางอินเดีย ส่งผลให้ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนทั้งขนาดกลางและขนาดย่อมปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยและกลุ่มธนาคาร นอกจากนี้ สัดส่วนการถือครองของนักลงทุนต่างชาติที่มีปริมาณน้อยเมื่อเทียบกับประเทศกำลังพัฒนาอื่นในแถบเอเชีย ส่งผลให้ผลกระทบจากแรงเทขายของนักลงทุนต่างชาติจากความกังวลในความไม่แน่นอนของสงครามทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกาน้อยกว่าประเทศอื่น ๆ"

อย่างไรก็ดี ในช่วงเดือน ก.ย. หุ้นอินเดียปรับตัวลดลงอย่างหนักจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็น ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ประเทศอินเดียขาดดุลการค้าสูงขึ้น ค่าเงินรูปีอ่อนค่า รวมไปถึงปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ที่มีแนวโน้มแย่ลงจากการที่รัฐไม่สามารถควบคุมปริมาณการใช้จ่ายภาครัฐ และดำเนินการจัดเก็บภาษีให้เป็นไปตามเป้าหมายได้ นอกจากนี้ คะแนนความนิยมของนายโมที (Modi) นายกรัฐมนตรีอินเดีย ก็ตกต่ำลง จากการที่ไม่สามารถผลักดันนโยบายที่เคยให้สัญญาไว้ตอนหาเสียงได้
 

สำหรับในระยะถัดไป บลจ.ไทยพาณิชย์ คาดว่า ตลาดหุ้นอินเดียจะมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น จากการที่ค่าเงินรูปีแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่ออกมาดีกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ รวมไปถึงระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่สนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างเหมาะสม อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังคงต้องให้ความสำคัญปัจจัยเสี่ยงที่อาจกดดันการปรับตัวขึ้นของตลาดอินเดีย เช่น ความผันผวนของราคาน้ำมัน ซึ่งส่งผลต่อการขาดดุลการค้า ค่าเงินรูปี และกระแสเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ รวมถึงเรื่องของคะแนนความนิยมและการดำเนินนโยบายของรัฐบาลปัจจุบัน ที่จะนำไปสู่ทิศทางของผลการเลือกตั้งทั่วไปที่จะเกิดขึ้นในเดือน เม.ย. 

"บลจ.ไทยพาณิชย์" จ่ายปันผลกอง "SCBINDIA" 0.1604 บาท