ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์(บล.) เอเซียพลัส จำกัด ระบุว่าภาพรวมกำไรของบริษัทจดทะเบียน(บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในครึ่งแรกปี 2561 มีกำไรสุทธิ 5.5 แสนล้านบาท เติบโต 8% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อน คิดเป็น 50% ของประมาณการกำไรทั้งปี ที่ฝ่ายวิจัย บล.เอเซียพลัสฯ ประเมินไว้ที่ 1.1 ล้านล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 110.78 บาทต่อหุ้น
แต่จากการสำรวจความเห็นนักวิเคราะห์ ของฝ่ายวิจัยฯ พบว่ามีการปรับเปลี่ยนประมาณการกำไรหลายบริษัท โดยในเบื้องต้นพบว่ากำไรสุทธิปี 2561 ลดลงราว 2.6 หมื่นล้านบาท หรือ 2.4% จากประมาณการเดิม ส่วนใหญ่มาจากรายการพิเศษ ได้แก่
ค่าใช้จ่ายพิเศษที่เกิดขึ้นในไตรมาส 2/2561 เช่น การด้อยค่าโครงข่ายโทรศัพท์บ้าน และโครงข่ายที่ล้าสมัยของ TRUE กว่า 1.4 หมื่นล้านบาท, ค่าใช้จ่ายความเสียหายจากวัตถุดิบคงคลังของ GGC กว่า 2 พันล้านบาท, ค่าใช้จ่ายพิเศษของ TU กว่า 1.5 พันล้านบาท
กำไรจากการดำเนินงานครึ่งปีหลัง มีโอกาสตํ่ากว่าประมาณการเดิม เช่น IRPC มีแผน shutdown ที่ไม่ได้รวมไว้ในประมาณการเดิม, MINT ปรับลดสมมติฐานส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วม-บริษัทย่อย, CK มีความล่าช้าในการเปิดประมูลโครงการภาครัฐ ส่งผลให้ปรับลดประมาณการรายได้จากการก่อสร้างลง
SYNTEC ปรับลดอัตรากำไรขั้นต้น และกำไรพิเศษลง, TVO ราคากากถั่วเหลืองลดลง ประมาณการยอดขายลดลง, TPIPP เลื่อน COD โรงไฟฟ้า 2 โรง, BCPG ปรับลด Capacity Factor โครงการโซลาร์ในไทย และเลื่อน COD โครงการโซลาร์ญี่ปุ่น
ผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกออกมาตํ่ากว่าคาด หรือขาดทุน จึงต้องปรับประมาณการกำไรทั้งปี เช่น TPIPL, VNG, TASCO เป็นต้น
ต้นทุนทางการเงินมีโอกาสเพิ่มขึ้นในอัตราที่เร็วกว่ารายได้ เช่น GPSC มีภาระดอกเบี้ยจ่ายเงินกู้ระยะสั้นระดับสูงจากการเข้าซื้อ GLOW เป็นต้น
จากการรวบรวมรายชื่อเบื้องต้น พบว่ามี 30 บจ.ที่ถูกลดประมาณการกำไรสุทธิในปี 2561 และมี 10 บจ.ที่ถูกเพิ่มประมาณการกำไร จากทั้งหมดกว่า 240 บริษัทที่ฝ่ายวิจัยศึกษา
JMART ถูกปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปีนี้ลงมากสุดถึง 97.9% รองลงมาคือ VNG 89.3% ตามด้วย TPIPL 87.8%, TRUE 53.3% และ ITD 48.1% เป็นต้น
หน้า 17 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับ 3,397 วันที่ 2-5 กันยายน 2561