KEY
POINTS
วันที่ 16 ธันวาคม 2568 ดร.อุทัย สอนหลักทรัพย์ นายกสมาคมสหพันธ์ชาวสวนยางแห่งประเทศไทย เปิดเผยภายหลังกล่าวต้อนรับ ดร.โภคิณ พลกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรี ที่ให้เกียรติมาเป็นประธานกล่าวเปิดงานมหกรรมยางพารา ครั้งที่ 3 ว่า การจัดงานมหกรรมยางพาราครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ 3 ภายใต้ชื่องาน “เกษตรยั่งยืนมิติใหม่สู่เวทีโลก” ซึ่งจัดขึ้น ณ บริเวณหน้าลานพญานาค มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต โดยงานจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 16–25 ธันวาคม 2568 นี้
สำหรับความเป็นมาและความสำคัญของการจัดงานมหกรรมยางพารา ครั้งที่ 3 นั้น สมาคมสหพันธ์ชาวสวนยางแห่งประเทศไทย มีความมุ่งมั่นให้ความสำคัญในการขับเคลื่อนภาคการเกษตรไทย โดยเฉพาะยางพารา ให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ภายใต้สถานการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศที่กำลังเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจและภาวะชะลอตัว ส่งผลให้เกษตรกรฐานราก โดยเฉพาะเกษตรกรชาวสวนยาง ต้องเผชิญกับปัญหาความผันผวนของราคาผลผลิต และต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ยังมีปัญหาโรคระบาด อาทิ โรคหน้ายางตายนิ่ง ปัญหาผลผลิตและราคาตกต่ำ ปัญหาการฟื้นฟูยางพาราหลังน้ำลดในภาคใต้ ฯลฯ ทั้งที่ประเทศไทยถือเป็นประเทศที่มีศักยภาพทางการเกษตรดีที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคอาเซียน ทั้งด้วยภูมิประเทศที่อุดมสมบูรณ์ และสภาพภูมิอากาศที่เหมาะสมต่อการเพาะปลูกพืชเศรษฐกิจ โดยเฉพาะยางพารา ซึ่งเป็นพืชที่สร้างรายได้สำคัญให้กับประเทศและเกษตรกรไทยมาอย่างยาวนาน อย่างไรก็ตาม เกษตรกรไทยยังคงประสบปัญหาต้นทุนการผลิตสูงและผลตอบแทนต่ำ ส่งผลให้ความมั่นคงทางอาชีพลดลง
ดังนั้น การจัดงานมหกรรมยางพาราจึงเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญในการแก้ไขปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจของเกษตรกรชาวสวนยาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการยกระดับมูลค่าผลผลิต และสร้างความยั่งยืน ผ่านการบูรณาการเทคโนโลยีและองค์ความรู้ใหม่ ซึ่งการจัดงานในครั้งนี้มุ่งเน้นการขับเคลื่อนนโยบายที่สำคัญของรัฐบาล เช่น นโยบายครัวไทยสู่ครัวโลก และเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ เพื่อให้เกษตรกรชาวสวนยางสามารถลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต และเข้าสู่ตลาดคาร์บอนเครดิตได้อย่างเป็นรูปธรรม อันจะนำไปสู่การสร้างความมั่นคงทางรายได้และคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับเกษตรกรชาวสวนยางอย่างยั่งยืน
สำหรับวัตถุประสงค์ในการจัดงานครั้งนี้ เพื่อสนองพระราชดำริ และขับเคลื่อนนโยบายเกษตรปลอดภัย ปลอดสารพิษ สู่การปฏิบัติจริงในพื้นที่เกษตรกร รวมถึงส่งเสริมและขยายผลแนวคิด “อาหารเป็นยา” และการบริโภคที่พึ่งตนเอง ตลอดจนสนับสนุนการผลิตผลิตภัณฑ์เกษตรมูลค่าสูง รวมทั้งสร้างและเชื่อมโยงเครือข่ายธุรกิจยางพารา เกษตรยั่งยืน คาร์บอนเครดิต และ ESG สู่ตลาดโลก อีกทั้งถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการลดต้นทุน เช่น การใช้ปุ๋ยสั่งตัด การเพิ่มผลผลิต และแนวทางการบริหารจัดการคาร์บอนเครดิตในภาคสวนยาง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและส่งเสริมการลงทุนทั้งในและต่างประเทศในอุตสาหกรรมยางพาราและเกษตรปลอดภัย
ภายในงานมีการระดมความคิดเห็นจากนักวิชาการ เกษตรกร และผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับยางพารา เพื่อยกระดับการแก้ไขปัญหายางพาราทั้งระบบให้เท่าทันต่อสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของโลกที่กำลังเผชิญวิกฤตทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม พร้อมการจัดแสดงแสง สี เสียง การจัดเวทีเสวนาให้ความรู้ยางพารายุคใหม่ และการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่าง ๆ ภายใต้หัวข้อ “คนยุคใหม่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม พร้อมก้าวสู่สังคมคาร์บอนต่ำ” และ “ยางพาราสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ สร้างรายได้ให้เกษตรกร พร้อมลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม” รวมถึงพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ด้านยางพารากับหน่วยงานต่าง ๆ และการจัดนิทรรศการเทคโนโลยีจากหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษา
อีกทั้งมีการจัดแสดงและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยางพารา ผลผลิตเกษตรปลอดภัย และผลิตภัณฑ์ชุมชน กิจกรรมส่งเสริมการตลาด การจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) เพื่อเชื่อมโยงผู้ผลิตกับผู้ซื้อโดยตรง รวมถึงเครือข่ายสมาคมสหพันธ์ชาวสวนยางภาคใต้ได้ยื่นหนังสือต่อประธานในพิธี เพื่อผลักดันให้เร่งแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกรชาวสวนยางพาราและสวนปาล์มน้ำมัน
“ผมคาดว่าการจัดงานครั้งนี้ นอกจากจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ และสร้างมูลค่าการลงทุนในอุตสาหกรรมเกษตรแล้ว ยางพาราไทยจะได้รับการยกระดับมาตรฐาน และก้าวเข้าสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำอย่างเป็นรูปธรรม เกษตรกรสามารถลดต้นทุนการผลิต เพิ่มโอกาสเข้าถึงตลาด และแหล่งเงินทุนสีเขียว ส่งผลให้เกิดความมั่นคงทางรายได้อย่างยั่งยืนแก่เกษตรกรรายย่อย รวมทั้งส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและการบริโภคอาหารปลอดภัย ภายใต้แนวคิด ‘เกษตรปลอดภัย ครัวไทยสู่ครัวโลก’” ดร.อุทัย กล่าวทิ้งท้าย