ข้าวเปลือกพุ่งแรง หอมมะลิแตะ 16,500 บาท รัฐหนุนเข้ม–ดีลจีน–สิงคโปร์–แอฟริกาแย่งซื้อดันตลาดร้อนแรง

22 พ.ย. 2568 | 09:09 น.
อัปเดตล่าสุด :22 พ.ย. 2568 | 09:29 น.

ราคาข้าวเปลือกขยับขึ้นแรง ข้าวหอมมะลิปรับเพิ่ม 1,000–1,200 บาท แตะ 16,500 บาทต่อตัน จากมาตรการพยุงราคาของรัฐ ขณะ ความต้องการซื้อจากจีน สิงคโปร์ และแอฟริกาหนุนตลาดคึกคัก ดันราคาข้าวไทยขยับขึ้นต่อเนื่อง

KEY

POINTS

  • ราคาข้าวเปลือกหอมมะลิปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยราคาซื้อขายสูงสุดแตะ 16,500 บาทต่อตัน ซึ่งเป็นราคาสูงสุดในรอบหลายปี
  • มาตรการภาครัฐ เช่น การพยุงราคา การชะลอการขาย และการจัดตลาดนัดข้าวเปลือก เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยหนุนให้ราคาปรับตัวสูงขึ้น
  • ความต้องการจากตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้น จากการเจรจาขายข้าวล็อตใหญ่แบบรัฐต่อรัฐ (G2G) ให้กับจีน สิงคโปร์ และแอฟริกาใต้

“ฐานเศรษฐกิจ”เกาะติดภาวะสินค้าเกษตรประจำสัปดาห์ วันที่ 17 - 21 พฤศจิกายน 2568 ราคาขยับขึ้นจากสัปดาห์ก่อนทั้งข้าวเปลือก ข้าวสารส่งออก  หมูหน้าฟาร์ม

ข้าวเปลือก : ราคาปรับตัวสูงขึ้น

สมาคมโรงสีข้าวไทย รายงานสถานการณ์ราคาข้าวเปลือกทั่วประเทศ ณ วันที่ 21 พฤศจิกายน 2568 ราคาข้าวเปลือกเจ้า ความชื้น 15% ราคาต่ำสุด-สูงสุดเฉลี่ยอยู่ที่ 6,400-7,200 บาทต่อตัน ส่วนข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 25% เฉลี่ยที่ 5,100-6,000 บาทต่อตัน

ส่วนข้าวเปลือกเจ้าหอมมะลิ ความชื้น 15% ราคาเฉลี่ย 14,500-16,500 บาทต่อตันและข้าวเปลือกเจ้าหอมมะลิ (ข้าวสด)ความชื้นสูง  เฉลี่ยที่ 12,800-14,000 บาทต่อตัน

เทียบกับสัปดาห์ก่อน (ณ วันที่ 14 พ.ย. 2568) ราคาข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% ราคาต่ำสุด-สูงสุดเฉลี่ยที่ 6,100-6,800 บาทต่อตัน และข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 25% เฉลี่ยที่ 4,900-5,600 บ้านต่อตัน

ส่วนข้าวเปลือกเจ้าหอมมะลิความชื้น 15% ราคาเฉลี่ยที่ 14,200-16,500 บาทต่อตัน และข้าวเปลือกเจ้าหอมะลิ(ข้าวสด) เฉลี่ยที่ 11,800-12,800 บาทต่อตัน

โดยสรุป ราคาข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% ปรับตัวสูงขึ้นจากสัปดาห์ก่อน 300-400 บาทต่อตัน ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 25% ปรับตัวสูงขึ้น 200-400 บาทต่อตัน ส่วนข้าวเปลือกเจ้าหอมมะลิปรับตัวสูงขึ้นแรง โดยข้าวเปลือกเจ้าหอมมะลิ(ข้าวสด ความชื้นสูง) ปรับตัวสูงขึ้น 1,000-1,200 บาทต่อตัน และข้าวเปลือกเจ้าหอมมะลิความชื้น 15% ปรับตัวสูงขึ้น 300 บาทต่อตันเมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อน

นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน ระบุว่า ราคาข้าวในตลาดที่ปรับตัวสูงขึ้นณ เวลานี้ มาจากหลายปัจจัย ที่สำคัญคือ มาจากการที่รัฐบาลเร่งออกมาตรการพยุงราคาตั้งแต่ต้นฤดูกาล ทั้งการชะลอการขาย การรับฝากเก็บ และการดูดซับข้าวออกจากระบบ หลังคณะกรรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) เห็นชอบมาตรการเร่งด่วนเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน ทำให้ปริมาณข้าวที่ออกสู่ตลาดลดลง ขณะที่นโยบายเชิงรุกของรัฐบาลช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้เกษตรกรไม่ต้องเร่งระบายผลผลิต ส่งผลให้ราคาข้าว โดยเฉพาะข้าวหอมมะลิ ปรับขึ้นอย่างเห็นได้ชัดแตะระดับ 16,100 บาทต่อตัน ซึ่งถือว่าสูงสุดในรอบหลายปี

อีกด้านหนึ่ง การจัด “ตลาดนัดข้าวเปลือก” ทั่วประเทศเป็นแรงขับสำคัญที่ช่วยดันราคา เพราะผู้ประกอบการนอกพื้นที่เข้าแข่งขันรับซื้อถึงแหล่งผลิต ทำให้ราคารับซื้อสูงกว่าตลาดทั่วไปเฉลี่ย 200–400 บาทต่อตัน รวมถึงการลงพื้นที่ตรวจสอบการซื้อขายของเจ้าหน้าที่ที่ช่วยให้กระบวนการเป็นธรรมและโปร่งใสขึ้น ทั้งหมดนี้ส่งผลให้ตลาดข้าวคึกคักขึ้นอย่างรวดเร็วและทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม

อย่างไรก็ดีจากการตรวจสอบข้อมูลล่าสุดของ “ฐานเศรษฐกิจ”ไทยอยู่ระหว่างเจรจาดีลขายข้าวแบบรัฐรัฐต่อรัฐ (G2G) กับจีน 500,000 ตัน (รวมปริมาณข้าว G2G เดิมที่เคยตกลงกันไว้ คงเหลืออีก 280,000 ตัน) คาดจะเริ่มส่งมอบต้นปี 2569 สิงคโปร์อีก 100,000 ตัน และกับแอฟริกาใต้อีก 300,000 ตัน ซึ่งในรายละเอียดและการส่งมอบยังรอการยืนยัน เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้ข้าวไทยเป็นที่ต้องการของตลาด และช่วยให้ราคาข้าวเปลือกและข้าวสารของไทยปรับตัวสูงขึ้น

แนวโน้มราคาข้าวเปลือก : ทรงตัวถึงปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย

ข้าวสาร : ราคาเพิ่มขึ้น

สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย รายงานภาวะตลาดซื้อขายข้าว โดยราคาข้าวในประเทศ ข้าวขาว 100% ชั้น 2 อยู่ที่กระสอบละ 1,070 บาท โดยราคาประกาศปรับขึ้นจากกระสอบละ 1,050 บาท จากสัปดาห์ก่อนหน้า ส่วนปลายข้าว เอ.วัน.พิเศษ ณ โรงงานอาหารสัตว์ ราคาทรงตัวที่กระสอบละ 950 บาท

ด้านภาวะตลาดซื้อขายข้าวสารส่งออก (F.O.B Prices) โดยข้าวสาร 100% ชั้น 2 ส่งออกท่าเรือกรุงเทพฯ เอฟ.โอ.บี. ราคาตันละ 377 ดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากตันละ 370 ดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนปลายข้าว เอ.วัน.พิเศษ ส่งออก เอฟ.โอ.บี. ราคาตันละ 339 ดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากตันละ 338 ดอลลาร์สหรัฐ

 แนวโน้ม : คาดว่าราคาข้าวน่าจะทรงตัว

สุกร : ราคาเพิ่มขึ้น

สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ รายงานข้อมูลราคาสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์ม (สัปดาห์ที่ 47/2568) ประจำวันจันทร์ที่ 17 พฤศจิกายน 2568 ทุกภูมิภาคขยับราคาต่อเนื่อง 2 บาทต่อกิโลกรัม(กก.) โดยปัจจัยบวกยังอยู่ที่รัฐบาลกระตุ้นการจับจ่ายผ่านคนละครึ่งพลัส

ขณะที่ปัจจุบันราคาสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์ม ยังคงอยู่ในระดับ 80-88.55% ของต้นทุนการผลิต หรือยังคงขาดทุนตัวละ 900-1,600 บาทต่อตัว โดย 1 ในสินค้าเกษตรที่ตกต่ำมากช่วงไตรมาสที่ 3 ปี 2568 คือ สินค้าสุกรและเนื้อสุกร แม้ปัจจุบันราคาขยับบวกมา 4 สัปดาห์ แต่ยังคงต่ำกว่าต้นทุนการผลิตที่ 80 บาทต่อ กก.

ภาคตะวันตก   64-66 บาทต่อ กก.

 ภาคตะวันออก  64-68 บาทต่อ กก.

 ภาคอีสาน  68 บาทต่อ กก.

 ภาคเหนือ  69-71 บาทต่อ กก.

 ภาคใต้ – 66 บาทต่อ กก.

ด้านลูกสุกรน้ำหนัก 16 กก.ต่อตัว ราคาอยู่ที่ 1,900 บาท (บวก/ลบ 64)

 แนวโน้ม : คาดว่าราคาสุกรน่าจะทรงตัว

ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ : ราคาทรงตัว

ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ณ ไซโลโรงงานอาหารสัตว์ ยืนราคาอยู่ที่หาบละ 588 บาท หรือ กก.  9.80 บาท ด้านตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ล่วงหน้าที่นครชิคาโก (CBOT) วันที่ 20 พฤศจิกายน 2568 สำนักข่าวอินโฟเควสท์ รายงานสัญญาข้าวโพด รอบส่งมอบเดือนมีนาคม 2568 ลดลง 3.75 เซนต์ หรือ -0.85% ปิดที่ 4.3755 ดอลลาร์/บุชเชล สัญญาข้าวโพดปรับตัวลง โดยสภาธัญพืชนานาชาติปรับเพิ่มคาดการณ์ผลผลิตข้าวโพดโลก ขณะเดียวกันการแข็งค่าของดัชนีดอลลาร์ จำกัดความต้องการซื้อพืชผลสหรัฐฯ เนื่องจากทำให้ราคาแพงขึ้นสำหรับผู้ซื้อในต่างประเทศ

แนวโน้ม : คาดว่าราคาข้าวโพดในประเทศน่าจะทรงตัว

ไก่เนื้อ : ราคาเพิ่มขึ้น

กลุ่มวิจัยเศรษฐกิจการปศุสัตว์ กองส่งเสริมและพัฒนาการปศุสัตว์ กรมปศุสัตว์ รายงานราคาเฉลี่ยสินค้าปศุสัตว์ที่เกษตรกรขายได้ ณ วันที่ 17 พฤศจิกายน 2568 ราคาไก่เนื้อ อยู่ที่กิโลกรัมละ 37 บาท เพิ่มขึ้นจากกิโลกรัมละ 36 บาท ด้านลูกไก่เนื้อ อยู่ที่ตัวละ 18.50 บาท และลูกไก่ไข่ ตัวละ 28.00 บาท

 แนวโน้ม : คาดว่าราคาไก่เนื้อน่าจะทรงตัว

ไข่ไก่ : ราคาเพิ่มขึ้น

เครือข่ายสหกรณ์ผู้เลี้ยงไก่ไข่ 4 แห่ง แจ้งปรับขึ้นราคาแนะนำไข่ไก่คละ ณ หน้าฟาร์มเกษตรกร จากฟองละ 3.20 บาท เป็นฟองละ 3.40 บาท โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 17 พฤศจิกายน 2568

 แนวโน้ม : คาดว่าราคาไข่ไก่น่าจะทรงตัว

กากถั่วเหลือง : ราคาเพิ่มขึ้น

กากถั่วเหลืองจากเมล็ดถั่วเหลืองนำเข้า ปรับราคาขึ้นจากกิโลกรัมละ 14.60 บาท เป็น 14.85 บาท ภาวะการเพาะปลูกฝั่งสหรัฐอเมริกาเก็บเกี่ยวแล้วเกือบ 100% ขณะที่ฝั่งบราซิลเพาะปลูกถั่วเหลืองแล้ว 60% โดยราคาเริ่มกลับมาปรับตัวขึ้นอีกครั้ง หลังจากคาดการณ์ผลผลิตถั่วเหลืองทั่วโลกลดลง และปริมาณซื้อถั่วเหลืองของจีนยังคงสูง   

ด้านตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ล่วงหน้าที่นครชิคาโก (CBOT) วันที่ 20 พฤศจิกายน 2568 สำนักข่าวอินโฟเควสท์ รายงานว่า สัญญาถั่วเหลืองรอบส่งมอบเดือนมกราคม 2569 ลดลง 13.75 เซนต์ หรือ -1.21% ปิดที่ 11.2250 ดอลลาร์/บุชเชล สัญญาถั่วเหลืองร่วงต่อเนื่องจากระดับสูงสุดในรอบ 17 เดือนที่ทำไว้เมื่อต้นสัปดาห์ แม้มีการยืนยันว่าจีนซื้อถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น แต่ไม่สามารถจุดกระแสการฟื้นตัวของราคาได้ ขณะที่กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ (USDA) ยืนยันยอดขายถั่วเหลืองให้จีนรวมแล้วมากกว่า 1.5 ล้านตัน ด้านนักวิเคราะห์ระบุว่า สหรัฐฯ กำลังเผชิญการแข่งขันในตลาดส่งออกจากถั่วเหลืองบราซิลที่มีราคาถูกกว่า

 แนวโน้ม : คาดว่าราคาถั่วเหลืองนำเข้าน่าจะทรงตัว

ปลาป่น : ราคาเพิ่มขึ้น

เปรูประกาศโควตาการจับปลาออกมาแล้วที่ 1.63 ล้านตัน โดยน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ และอาจไม่เพียงพอต่อความต้องการในตลาด ทำให้ราคาปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ด้านราคารับซื้อปลาป่นที่จีนยังปรับตัวสูงขึ้น โดยปริมาณการซื้อหน้าท่าทรงตัว ส่วนปริมาณสต็อกปลาป่นปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 

สำหรับสถานการณ์ปลาป่นในประเทศราคาปรับเพิ่มขึ้น 1 บาท ทุกเบอร์ โดยปลาป่นเกรดกุ้ง ปรับขึ้นจาก กก.ละ 46 บาท เป็น กก.ละ 47 บาท ส่วนปลาป่นเบอร์ 1 เกรดที่สูงกว่า 60 โปรตีนขึ้นไป ปรับขึ้นจากกก.ละ 40.70 บาท เป็น กก.ละ 41.70 บาท และปลาป่นเกรดที่ต่ำกว่า 60 โปรตีน ปรับขึ้นจาก กก.ละ 35.70 บาท เป็น กก.ละ 36.70 บาท

ส่วนปลาป่นเบอร์ 2 ชนิดโปรตีนสูงกว่า 60 โปรตีนขึ้นไป ปรับขึ้นจากกก.ละ 37.20 บาท เป็น กก.ละ 38.20 บาท และปลาป่นเบอร์ 2 ชนิดที่มีโปรตีนสูงกว่า 56 แต่ไม่เกิน 60 โปรตีน ปรับขึ้นจาก กก.ละ 34.70 บาท เป็น กก.ละ 35.70 บาท

 แนวโน้ม : คาดว่าราคาปลาป่นน่าจะปรับตัวขึ้น