KEY
POINTS
กรณีองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) ร่วมกับกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ (G20) ได้กำหนด “Global Minimum Corporate Tax Rate” ที่อัตรา 15% เพื่อให้มั่นใจว่า บริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ (Multinational Enterprises-MNEs) จะต้องจ่ายภาษีในแต่ละประเทศ ไม่น้อยกว่า 15% ของกำไรทางบัญชีที่แท้จริง
มาตรการนี้มีเป้าหมายเพื่อ ป้องกันไม่ให้บริษัทข้ามชาติย้ายกำไร (Profit Shifting) ไปยังประเทศที่มีภาษีต่ำหรือเขตปลอดภาษี (Tax Haven) ส่งเสริมความเป็นธรรมทางภาษีระหว่างประเทศ และเพิ่มรายได้ภาษีของแต่ละประเทศ ที่สูญเสียไปจากการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีหรือยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลในอดีต ซึ่งกฎขั้นต่ำ 15% นี้มีผลบังคับใช้กับรอบภาษี/ปีบัญชีที่เริ่มตั้งแต่ 1 มกราคม 2025 สำหรับประเทศส่วนใหญ่ที่ออกกฎหมายตามแนวทาง OECD
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า เรื่องดังกล่าว บีโอไอได้เตรียมมาตรการรองรับไว้ส่วนหนึ่งแล้ว ตามประกาศบีโอไอที่ 1/2566 ซึ่งเปิดทางให้โครงการลงทุนของกลุ่มบริษัทข้ามชาติรายใหญ่ที่เข้าเกณฑ์ของ OECD สามารถปรับรูปแบบสิทธิประโยชน์จากการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ไปเป็นการลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล 50% ของอัตราปกติ โดยขยายระยะเวลาเป็น 2 เท่า แต่รวมแล้วไม่เกิน 10 ปี ซึ่งยังคงเป็นแรงจูงใจด้านภาษีที่มีนัยสำคัญต่อการรักษาฐานลงทุนไว้ ขณะเดียวกันก็ช่วยให้อัตราภาษี (Effective Tax Rate) ของบริษัทใกล้เคียงกับอัตราภาษีขั้นต่ำ 15% ได้มากที่สุด
ขณะเดียวกันบีโอไอและกระทรวงการคลังอยู่ระหว่างออกแบบกลไก Qualified Refundable Tax Credit (QRTC)ซึ่งเป็นมาตรการส่งเสริมการลงทุนที่ OECD รับรองว่าไม่ขัดกับกฎภาษีขั้นต่ำ โดยมาตรการดังกล่าวนี้จะเป็นการให้เครดิตภาษีที่สามารถนำไปลดหย่อนภาษีต่าง ๆ ได้ และหากใช้ไม่หมดภายในระยะเวลาที่กำหนด สามารถนำเครดิตที่เหลือมาขอคืนเป็นเงินสดได้ โดยการให้เครดิตภาษีจะถูกออกแบบให้ผูกกับกิจกรรมที่สร้างประโยชน์ต่อเศรษฐกิจไทย เช่น การทำวิจัยและพัฒนา การพัฒนาบุคลากร การปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต เป็นต้น QRTC จึงจะเป็นเครื่องมือใหม่ในการยกระดับคุณภาพการลงทุนของประเทศด้วย ขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือในรายละเอียดและวิธีการปฏิบัติ ซึ่งเมื่อมีความชัดเจนแล้วจะชี้แจงกับนักลงทุนต่อไป
สอดคล้องกับนายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง ที่เผยว่า สิทธิประโยชน์ภาษีของบริษัทที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ในส่วนของกระทรวงการคลังจะยกเลิกไปทั้งหมด เพื่อให้เป็นไปตามมาตรการ Global Minimum Tax (GMT) ของ OECD ที่กำหนดเก็บภาษีนิติบุคคลของบริษัทต่างชาติ 15%
ส่วนบริษัทที่ได้รับผลกระทบจากการยกเลิกสิทธิประโยชน์ทางภาษีจะใช้กองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของบีโอไอเข้าไปดูแลแทนซึ่งปัจจุบันร่างแก้ไข พ.ร.บ. เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ผ่าน สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว
โดยในร่างแก้ไข พ.ร.บ.ดังกล่าวจะกำหนดให้เครดิตภาษี QRTC (มาตรการส่งเสริการลงทุนที่ OECD รับรองว่าไม่ขัดกับการเก็บภาษีขั้นต่ำ) ในรูปแบบคล้ายบัตรภาษี ที่นำมาใช้ชำระภาษี สำหรับภาษีเงินได้ หรือภาษีส่วนเพิ่ม และกรมสรรพากรจะไปขึ้นเงินภาษีนี้จากบีโอไอ ซึ่งจะทำให้การจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพากรจากการส่งเสริมการลงทุนได้เต็มที่ ไม่ต้องใช้หลักการยกเว้นภาษี
“กรณีมี QRTC ที่ไม่ได้ใช้ชำระภาษี ผู้เสียภาษีสามารถขอคืนจากบีโอไอได้ภายใน 4 ปี โดยบีโอไอต้องขอตั้งงบเตรียมสำหรับ QRTC นี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่บีโอไอมีความกังวลเรื่องการของบประมาณ”
ทั้งนี้ กรมสรรพากรอยู่ระหว่างเสนอกฎหมายลูก กำหนดรายละเอียดวิธีคำนวณภาษีส่วนเพิ่ม ซึ่งกำลังเร่งให้ทันปีนี้ เนื่องจากพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ภาษีส่วนเพิ่ม พ.ศ. 2567 กำหนดให้เริ่มใช้รอบปีบัญชี 68 ถ้าไม่ทัน ต้องเลื่อนรอบปีบัญชีเริ่มใช้เป็นปี 69 ซึ่งจะกระทบต่อการจัดเก็บรายได้ปีแรกในปี 2570 เป็นปี 2571
นายนฤตม์ กล่าวต่ออีกว่า ท่ามกลางสถานการณ์โลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ทั้งความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์และการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจ นักลงทุนทั่วโลกกำลังปรับกลยุทธ์และย้ายฐานการผลิตเพื่อกระจายความเสี่ยง โดยข้อมูลจาก World Investment Report ของ UNCTAD พบว่า FDI โลกหดตัวต่อเนื่อง 2 ปีซ้อน ลดลง 11% เมื่อปีที่ผ่านมา
ตรงกันข้ามกับภูมิภาคอาเซียนที่ FDI เติบโต 8% กลายเป็น “Bright Spot” ดึงดูดสายตานักลงทุนทั่วโลก ซึ่งไทยเป็นหนึ่งในประเทศหลักที่โดดเด่น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง
บีโอไอเผยว่าในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 มีคำขอรับการส่งเสริมการลงทุน 2,622 โครงการ เพิ่มขึ้น 23% จากปีก่อนหน้า มูลค่าเงินลงทุนรวม 1.37 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 94% และสูงกว่าทั้งปีของปี 2567 ถึง 22% สะท้อนความเชื่อมั่นต่อศักยภาพเศรษฐกิจไทยและบทบาทการเป็นศูนย์กลางการลงทุนของอาเซียน
โดย 3 อุตสาหกรรมดาวเด่นที่ลงทุนมากที่สุด ได้แก่ ดิจิทัล มูลค่า 612,768 ล้านบาท (119 โครงการ) นำโดยการลงทุน Data Center จากยุโรป ญี่ปุ่น จีน สิงคโปร์ และฮ่องกง รวมกว่า 6 แสนล้านบาท,อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า: มูลค่า 184,078 ล้านบาท (382 โครงการ) มุ่งผลิตแบตเตอรี่ระดับเซลล์ แผงวงจร PCB และระบบชิปขั้นสูง และยานยนต์และชิ้นส่วน มูลค่า 70,985 ล้านบาท (229 โครงการ) เน้นสายการผลิต EV, Hybrid, ระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า และชิ้นส่วนยานยนต์แห่งอนาคต นอกจากนี้ยังมีการลงทุนพลังงานหมุนเวียนกว่า 74,212 ล้านบาท และอุตสาหกรรมเกษตร–อาหาร 47,200 ล้านบาท
ทั้งนี้การลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในปีนี้ คิดเป็นมูลค่ากว่า 8 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 84% จากปีก่อนหน้า ขณะที่โครงการร่วมทุนไทย-ต่างชาติ มูลค่ารวม 325,677 ล้านบาท โตพรวดกว่า 150%ส่วนการลงทุนโดยนักลงทุนไทยเอง อยู่ที่ 240,916 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 68% โดยประเทศที่ขอรับการส่งเสรริมลงทุนสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่สิงคโปร์, ฮ่องกง, จีน, สหราชอาณาจักร และญี่ปุ่น
ขณะที่ปัจจุบันมีโครงการอยู่ระหว่าง อนุมัติส่งเสริม 2,413 โครงการ มูลค่า 1.11 ล้านล้านบาท และอยู่ในขั้นตอนการออกบัตรส่งเสริมอีก 2,050 โครงการ มูลค่า 9.47 แสนล้านบาท ซึ่งจากข้อมูลที่ผ่านมาโครงการส่วนใหญ่กว่า 80% จะเริ่มลงทุนจริงภายใน 2 ปีแรก หลังได้รับบัตรส่งเสริม ส่วนที่เหลืออีก 20% มักเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่ต้องใช้เวลาวางระบบหรือกรณีมีการส่งเครื่องจักรจากต่างประเทศต้องใช้เวลาเพิ่มเติม แต่หากเป็นโครงการที่ย้ายฐานการผลิตจากสงครามการค้า มีแนวโน้มเริ่มลงทุนเร็วกว่าโครงการทั่วไป โดยเฉลี่ยภายใน 1-1.5 ปีก็สามารถผลิตได้แล้ว
บีโอไอประเมินว่า ปี 2569 จะเป็น “ปีทองของการลงทุนไทย” จากแรงผลักดันหลัก 3 ประการ คือ 1. กระแสการย้ายฐานการผลิต (Relocation) จากความขัดแย้งโลก 2. ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีใหม่ โดยเฉพาะ AI–Data Center–EV และ 3. ศักยภาพพื้นฐานของไทย ทั้งโครงสร้างพื้นฐาน พลังงานสะอาด บุคลากรคุณภาพ และนโยบายภาครัฐที่ต่อเนื่อง ล่าสุดบีโอไอได้เร่งเครื่อง “Quick Big Win” ภายใต้รัฐบาลใหม่
โดยจะเดินหน้าใน 3 มาตรการเร่งด่วน ได้แก่
1.พัฒนาบุคลากรทักษะสูง 1 แสนคน รองรับอุตสาหกรรมใหม่ ผ่านกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
2.สนับสนุนผู้ประกอบการไทยเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยจะเป็นการให้เงินทุนสนับสนุนผู้ประกอบการไทยในการปรับปรุงประสิทธิภาพ เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน จะสนับสนุนเงินทุนสัดส่วน 30-50% ของเงินลงทุนและค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง สูงสุดไม่เกิน 100 ล้านบาทต่อบริษัท
3.ระบบ FastPass เร่งรัดการพิจารณาอนุมัติ /อนุญาต ที่สำคัญจาก 7 หน่วยงานหลัก ได้แก่ บีโอไอ กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) กรมการจัดหางาน และสำนักงาน EEC คาดว่าจะช่วยลดเวลาในการพิจารณาได้ 20-50%
“ไทยกำลังเข้าสู่ “Turning Point” ของโครงสร้างเศรษฐกิจหากสามารถต่อยอดโอกาสจากการย้ายฐานการผลิตโลกได้ทันเวลา จะนำไปสู่ “ยุคโชติช่วงชัชวาล 4.0 ”ยุคที่การลงทุนเทคโนโลยีขั้นสูงจะเป็นหัวจักรขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยครั้งใหม่ อย่างไรก็ดียังมีกับดักการลงทุน และความความท้าทายที่ต้องเร่งคลี่คลายหลายด้าน โดยเฉพาะข้อจำกัดระบบส่งไฟฟ้าใน EECที่ดินอุตสาหกรรมราคาแพง การขาดแคลนแรงงานทักษะสูงระบบวีซ่า-ใบอนุญาตทำงานล่าช้า รวมถึงการพัฒนาความสะดวกในการทำธุรกิจ (Ease of Doing Business) ซึ่งเป็นปัจจัยชี้ขาดต่อการตัดสินใจของนักลงทุนที่เราต้องเร่งแก้ไข”นายนฤตม์ กล่าว
ทั้งนี้ปี 2569 ถูกจับตาให้เป็น “ปีทองการลงทุนไทย” ที่ทุนเทคโนโลยีทั่วโลกจะหลั่งไหลเข้ามา ด้วยแรงส่งจากมาตรการรัฐ โครงสร้างพื้นฐานพร้อม และความร่วมมือภาคเอกชน ซึ่งบีโอไอมองว่า“นี่คือจังหวะทองของไทย” ที่ต้องเร่งขับเคลื่อนทุกกลไกให้ทันคลื่นการลงทุนโลก ซึ่งหากไทยสามารถเชื่อมโยงโอกาสนี้ได้ทันเวลา การลงทุนจะเป็นตัวนำไปสู่การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ สร้างฐานเศรษฐกิจใหม่ที่มีมูลค่าเพิ่มสูง ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม และยกระดับประเทศไทยไปสู่การเป็นผู้นำของภูมิภาคได้