คลัง-บีโอไอรื้อลงทุน เลิกสิทธิประโยชน์ภาษี ชงใช้เครดิตภาษี-ขอคืนเงินสดแทน ยันปี 68-69 ยุคทองลงทุนไทย

11 พ.ย. 2568 | 22:43 น.
อัปเดตล่าสุด :24 พ.ย. 2568 | 07:31 น.

คลัง-บีโอไอสั่งยกเลิกสิทธิประโยชน์ด้านภาษีส่งเสริมลงทุน รับเกณฑ์ OECD ชงใช้ระบบเครดิตนำไปใช้ลดหย่อนภาษีได้แทน ระบุปี 2568-2569 ปีทองลงทุนไทย 3 อุตสาหกรรมดาวเด่น “ดิจิทัล-อิเล็กทรอนิกส์-ยานยนต์” หนุนสร้างเศรษฐกิจใหม่

KEY

POINTS

  • กระทรวงการคลังและบีโอไอเตรียมยกเลิกสิทธิประโยชน์ด้านการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรการภาษีขั้นต่ำ 15% ของ OECD
  • จะเปลี่ยนมาใช้มาตรการส่งเสริมการลงทุนรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า Qualified Refundable Tax Credit (QRTC) ซึ่งเป็นการให้เครดิตภาษีที่สามารถขอคืนเป็นเงินสดได้หากใช้ไม่หมด
  • บีโอไอคาดการณ์ว่าปี 2568-2569 จะเป็น "ปีทองของการลงทุนไทย" จากกระแสการย้ายฐานการผลิตของโลก การเติบโตของเทคโนโลยีใหม่ และศักยภาพของประเทศ

กรณีองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) ร่วมกับกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ (G20) ได้กำหนด “Global Minimum Corporate Tax Rate” ที่อัตรา 15% เพื่อให้มั่นใจว่า บริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ (Multinational Enterprises-MNEs) จะต้องจ่ายภาษีในแต่ละประเทศ ไม่น้อยกว่า 15% ของกำไรทางบัญชีที่แท้จริง

มาตรการนี้มีเป้าหมายเพื่อ ป้องกันไม่ให้บริษัทข้ามชาติย้ายกำไร (Profit Shifting) ไปยังประเทศที่มีภาษีต่ำหรือเขตปลอดภาษี (Tax Haven) ส่งเสริมความเป็นธรรมทางภาษีระหว่างประเทศ และเพิ่มรายได้ภาษีของแต่ละประเทศ ที่สูญเสียไปจากการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีหรือยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลในอดีต ซึ่งกฎขั้นต่ำ 15% นี้มีผลบังคับใช้กับรอบภาษี/ปีบัญชีที่เริ่มตั้งแต่ 1 มกราคม 2025 สำหรับประเทศส่วนใหญ่ที่ออกกฎหมายตามแนวทาง OECD

บีโอไอ พร้อมปรับเกณฑ์ใหม่

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า เรื่องดังกล่าว บีโอไอได้เตรียมมาตรการรองรับไว้ส่วนหนึ่งแล้ว ตามประกาศบีโอไอที่ 1/2566 ซึ่งเปิดทางให้โครงการลงทุนของกลุ่มบริษัทข้ามชาติรายใหญ่ที่เข้าเกณฑ์ของ OECD สามารถปรับรูปแบบสิทธิประโยชน์จากการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ไปเป็นการลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล 50% ของอัตราปกติ โดยขยายระยะเวลาเป็น 2 เท่า แต่รวมแล้วไม่เกิน 10 ปี ซึ่งยังคงเป็นแรงจูงใจด้านภาษีที่มีนัยสำคัญต่อการรักษาฐานลงทุนไว้ ขณะเดียวกันก็ช่วยให้อัตราภาษี (Effective Tax Rate) ของบริษัทใกล้เคียงกับอัตราภาษีขั้นต่ำ 15% ได้มากที่สุด

นฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ)

ขณะเดียวกันบีโอไอและกระทรวงการคลังอยู่ระหว่างออกแบบกลไก Qualified Refundable Tax Credit (QRTC)ซึ่งเป็นมาตรการส่งเสริมการลงทุนที่ OECD รับรองว่าไม่ขัดกับกฎภาษีขั้นต่ำ โดยมาตรการดังกล่าวนี้จะเป็นการให้เครดิตภาษีที่สามารถนำไปลดหย่อนภาษีต่าง ๆ ได้ และหากใช้ไม่หมดภายในระยะเวลาที่กำหนด สามารถนำเครดิตที่เหลือมาขอคืนเป็นเงินสดได้ โดยการให้เครดิตภาษีจะถูกออกแบบให้ผูกกับกิจกรรมที่สร้างประโยชน์ต่อเศรษฐกิจไทย เช่น การทำวิจัยและพัฒนา การพัฒนาบุคลากร การปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต เป็นต้น QRTC จึงจะเป็นเครื่องมือใหม่ในการยกระดับคุณภาพการลงทุนของประเทศด้วย ขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือในรายละเอียดและวิธีการปฏิบัติ ซึ่งเมื่อมีความชัดเจนแล้วจะชี้แจงกับนักลงทุนต่อไป

คลังยันยกเลิกสิทธิประโยชน์ภาษี

สอดคล้องกับนายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง ที่เผยว่า สิทธิประโยชน์ภาษีของบริษัทที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ในส่วนของกระทรวงการคลังจะยกเลิกไปทั้งหมด เพื่อให้เป็นไปตามมาตรการ Global Minimum Tax (GMT) ของ OECD ที่กำหนดเก็บภาษีนิติบุคคลของบริษัทต่างชาติ 15%

ส่วนบริษัทที่ได้รับผลกระทบจากการยกเลิกสิทธิประโยชน์ทางภาษีจะใช้กองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของบีโอไอเข้าไปดูแลแทนซึ่งปัจจุบันร่างแก้ไข พ.ร.บ. เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ผ่าน สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว

โดยในร่างแก้ไข พ.ร.บ.ดังกล่าวจะกำหนดให้เครดิตภาษี QRTC (มาตรการส่งเสริการลงทุนที่ OECD รับรองว่าไม่ขัดกับการเก็บภาษีขั้นต่ำ) ในรูปแบบคล้ายบัตรภาษี ที่นำมาใช้ชำระภาษี สำหรับภาษีเงินได้ หรือภาษีส่วนเพิ่ม และกรมสรรพากรจะไปขึ้นเงินภาษีนี้จากบีโอไอ ซึ่งจะทำให้การจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพากรจากการส่งเสริมการลงทุนได้เต็มที่ ไม่ต้องใช้หลักการยกเว้นภาษี

“กรณีมี QRTC ที่ไม่ได้ใช้ชำระภาษี ผู้เสียภาษีสามารถขอคืนจากบีโอไอได้ภายใน 4 ปี โดยบีโอไอต้องขอตั้งงบเตรียมสำหรับ QRTC นี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่บีโอไอมีความกังวลเรื่องการของบประมาณ”

ทั้งนี้ กรมสรรพากรอยู่ระหว่างเสนอกฎหมายลูก กำหนดรายละเอียดวิธีคำนวณภาษีส่วนเพิ่ม ซึ่งกำลังเร่งให้ทันปีนี้ เนื่องจากพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ภาษีส่วนเพิ่ม พ.ศ. 2567 กำหนดให้เริ่มใช้รอบปีบัญชี 68 ถ้าไม่ทัน ต้องเลื่อนรอบปีบัญชีเริ่มใช้เป็นปี 69 ซึ่งจะกระทบต่อการจัดเก็บรายได้ปีแรกในปี 2570 เป็นปี 2571

คลัง-บีโอไอรื้อลงทุน เลิกสิทธิประโยชน์ภาษี ชงใช้เครดิตภาษี-ขอคืนเงินสดแทน ยันปี 68-69 ยุคทองลงทุนไทย

นักลงทุนกระจายฐานการผลิต

นายนฤตม์ กล่าวต่ออีกว่า ท่ามกลางสถานการณ์โลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ทั้งความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์และการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจ นักลงทุนทั่วโลกกำลังปรับกลยุทธ์และย้ายฐานการผลิตเพื่อกระจายความเสี่ยง โดยข้อมูลจาก World Investment Report ของ UNCTAD พบว่า FDI โลกหดตัวต่อเนื่อง 2 ปีซ้อน ลดลง 11% เมื่อปีที่ผ่านมา

ตรงกันข้ามกับภูมิภาคอาเซียนที่ FDI เติบโต 8% กลายเป็น “Bright Spot” ดึงดูดสายตานักลงทุนทั่วโลก ซึ่งไทยเป็นหนึ่งในประเทศหลักที่โดดเด่น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง

9 เดือนยอดทะลุ 1.37 ล้านล้านบาท

บีโอไอเผยว่าในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 มีคำขอรับการส่งเสริมการลงทุน 2,622 โครงการ เพิ่มขึ้น 23% จากปีก่อนหน้า มูลค่าเงินลงทุนรวม 1.37 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 94% และสูงกว่าทั้งปีของปี 2567 ถึง 22% สะท้อนความเชื่อมั่นต่อศักยภาพเศรษฐกิจไทยและบทบาทการเป็นศูนย์กลางการลงทุนของอาเซียน

โดย 3 อุตสาหกรรมดาวเด่นที่ลงทุนมากที่สุด ได้แก่ ดิจิทัล มูลค่า 612,768 ล้านบาท (119 โครงการ) นำโดยการลงทุน Data Center จากยุโรป ญี่ปุ่น จีน สิงคโปร์ และฮ่องกง รวมกว่า 6 แสนล้านบาท,อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า: มูลค่า 184,078 ล้านบาท (382 โครงการ) มุ่งผลิตแบตเตอรี่ระดับเซลล์ แผงวงจร PCB และระบบชิปขั้นสูง และยานยนต์และชิ้นส่วน มูลค่า 70,985 ล้านบาท (229 โครงการ) เน้นสายการผลิต EV, Hybrid, ระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า และชิ้นส่วนยานยนต์แห่งอนาคต นอกจากนี้ยังมีการลงทุนพลังงานหมุนเวียนกว่า 74,212 ล้านบาท และอุตสาหกรรมเกษตร–อาหาร 47,200 ล้านบาท

ไทยขึ้นแท่นศูนย์กลางเทคโนโลยี

ทั้งนี้การลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในปีนี้ คิดเป็นมูลค่ากว่า 8 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 84% จากปีก่อนหน้า ขณะที่โครงการร่วมทุนไทย-ต่างชาติ มูลค่ารวม 325,677 ล้านบาท โตพรวดกว่า 150%ส่วนการลงทุนโดยนักลงทุนไทยเอง อยู่ที่ 240,916 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 68% โดยประเทศที่ขอรับการส่งเสรริมลงทุนสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่สิงคโปร์, ฮ่องกง, จีน, สหราชอาณาจักร และญี่ปุ่น

ขณะที่ปัจจุบันมีโครงการอยู่ระหว่าง อนุมัติส่งเสริม 2,413 โครงการ มูลค่า 1.11 ล้านล้านบาท และอยู่ในขั้นตอนการออกบัตรส่งเสริมอีก 2,050 โครงการ มูลค่า 9.47 แสนล้านบาท ซึ่งจากข้อมูลที่ผ่านมาโครงการส่วนใหญ่กว่า 80% จะเริ่มลงทุนจริงภายใน 2 ปีแรก หลังได้รับบัตรส่งเสริม ส่วนที่เหลืออีก 20% มักเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่ต้องใช้เวลาวางระบบหรือกรณีมีการส่งเครื่องจักรจากต่างประเทศต้องใช้เวลาเพิ่มเติม แต่หากเป็นโครงการที่ย้ายฐานการผลิตจากสงครามการค้า มีแนวโน้มเริ่มลงทุนเร็วกว่าโครงการทั่วไป โดยเฉลี่ยภายใน 1-1.5 ปีก็สามารถผลิตได้แล้ว

3 ด้านหนุนปี 69 “ปีทองลงทุนไทย”

บีโอไอประเมินว่า ปี 2569 จะเป็น “ปีทองของการลงทุนไทย” จากแรงผลักดันหลัก 3 ประการ คือ 1. กระแสการย้ายฐานการผลิต (Relocation) จากความขัดแย้งโลก 2. ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีใหม่ โดยเฉพาะ AI–Data Center–EV และ 3. ศักยภาพพื้นฐานของไทย ทั้งโครงสร้างพื้นฐาน พลังงานสะอาด บุคลากรคุณภาพ และนโยบายภาครัฐที่ต่อเนื่อง ล่าสุดบีโอไอได้เร่งเครื่อง “Quick Big Win” ภายใต้รัฐบาลใหม่

โดยจะเดินหน้าใน 3 มาตรการเร่งด่วน ได้แก่

1.พัฒนาบุคลากรทักษะสูง 1 แสนคน รองรับอุตสาหกรรมใหม่ ผ่านกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

2.สนับสนุนผู้ประกอบการไทยเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยจะเป็นการให้เงินทุนสนับสนุนผู้ประกอบการไทยในการปรับปรุงประสิทธิภาพ เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน จะสนับสนุนเงินทุนสัดส่วน 30-50% ของเงินลงทุนและค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง สูงสุดไม่เกิน 100 ล้านบาทต่อบริษัท

3.ระบบ FastPass เร่งรัดการพิจารณาอนุมัติ /อนุญาต ที่สำคัญจาก 7 หน่วยงานหลัก ได้แก่ บีโอไอ กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) กรมการจัดหางาน และสำนักงาน EEC คาดว่าจะช่วยลดเวลาในการพิจารณาได้ 20-50%

เศรษฐกิจไทย–สู่ยุคโชติช่วง

“ไทยกำลังเข้าสู่ “Turning Point” ของโครงสร้างเศรษฐกิจหากสามารถต่อยอดโอกาสจากการย้ายฐานการผลิตโลกได้ทันเวลา จะนำไปสู่ “ยุคโชติช่วงชัชวาล 4.0 ”ยุคที่การลงทุนเทคโนโลยีขั้นสูงจะเป็นหัวจักรขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยครั้งใหม่ อย่างไรก็ดียังมีกับดักการลงทุน และความความท้าทายที่ต้องเร่งคลี่คลายหลายด้าน โดยเฉพาะข้อจำกัดระบบส่งไฟฟ้าใน EECที่ดินอุตสาหกรรมราคาแพง การขาดแคลนแรงงานทักษะสูงระบบวีซ่า-ใบอนุญาตทำงานล่าช้า รวมถึงการพัฒนาความสะดวกในการทำธุรกิจ (Ease of Doing Business) ซึ่งเป็นปัจจัยชี้ขาดต่อการตัดสินใจของนักลงทุนที่เราต้องเร่งแก้ไข”นายนฤตม์ กล่าว

ทั้งนี้ปี 2569 ถูกจับตาให้เป็น “ปีทองการลงทุนไทย” ที่ทุนเทคโนโลยีทั่วโลกจะหลั่งไหลเข้ามา ด้วยแรงส่งจากมาตรการรัฐ โครงสร้างพื้นฐานพร้อม และความร่วมมือภาคเอกชน ซึ่งบีโอไอมองว่า“นี่คือจังหวะทองของไทย” ที่ต้องเร่งขับเคลื่อนทุกกลไกให้ทันคลื่นการลงทุนโลก ซึ่งหากไทยสามารถเชื่อมโยงโอกาสนี้ได้ทันเวลา การลงทุนจะเป็นตัวนำไปสู่การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ สร้างฐานเศรษฐกิจใหม่ที่มีมูลค่าเพิ่มสูง ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม และยกระดับประเทศไทยไปสู่การเป็นผู้นำของภูมิภาคได้