รศ.ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน เปิดเผยในรายการ 'ฐานทอล์ค' ว่า สหรัฐฯ มีความกังวลต่อระบบ 'รางวัลนำจับ' ของประเทศไทย เนื่องจากไทยมีอัตรารางวัลสูงที่สุดในอาเซียน และถือเป็นมาตรการที่ไม่สอดคล้องกับแนวทางสากล
“รางวัลนำจับของเราเนี่ยสูงที่สุดในประเทศอาเซียน และในอาเซียนอย่างน้อย 2 ประเทศที่ไม่ใช้ระบบนี้คือสิงคโปร์และเวียดนาม ส่วนมาเลเซียกับฟิลิปปินส์ก็ยังมี แต่ไม่สูงเท่าของเรา” อ.ดร.อัทธ์กล่าว
ทั้งนี้ ไทยเป็นคู่ค้าอันดับ 2 ของสหรัฐฯ ในภูมิภาค รองจากเวียดนาม ซึ่งไม่มีระบบรางวัลนำจับ โดยเวียดนามเลือกใช้ 'ระบบโบนัส' แทน โดยให้รางวัลเฉลี่ยปีละ 5–10% แก่ทั้งกรม ไม่ได้ให้เฉพาะเจ้าหน้าที่รายบุคคล เช่นเดียวกับระบบของสหรัฐฯ
“สิ่งที่ไทยกำลังทำอยู่ถือว่ามาถูกทางแล้ว การปรับรางวัลนำจับให้สอดคล้องกับที่สหรัฐฯ และองค์การศุลกากรโลก (WCO) กังวลเป็นเรื่องจำเป็น เพราะทั้ง WCO และ WTO ไม่สนับสนุนให้มีรางวัลนำจับ เนื่องจากเป็นการค้าที่ขาดความโปร่งใส และเพิ่มต้นทุนให้ผู้ประกอบการ” เขากล่าว
สำหรับข้อเสนอของกรมศุลการกรที่ยังต้องการคงระบบไว้บางส่วนเพื่อให้เจ้าหน้าที่ด่านหน้ามีแรงจูงใจนั้น อ.ดร.อัทธ์แสดงจุดยืนชัดว่า 'ไม่ควรมี' แต่เสนอให้เปลี่ยนเป็นระบบโบนัสแทน โดยให้รางวัลระดับกรม ลดหลั่นตามหน้าที่และระดับเงินเดือน เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางของสหรัฐฯ และเวียดนาม
อย่างไรก็ตาม เขาเห็นด้วยกับข้อเสนอจาก สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) ที่กังวลว่า หากยกเลิกระบบนำจับ อาจทำให้การตรวจสอบหย่อนยานลง โดยเสนอแนวทางแก้ไขไว้ 3 ประการ ได้แก่
“ระบบเดิมใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่เป็นหลัก ทำให้ชี้เป็นชี้ตายได้ว่าสินค้าผิดหรือไม่ ส่งผลให้ต่างชาติเห็นว่าไทยขาดความโปร่งใสในการค้า” เขากล่าว พร้อมย้ำว่า “ไม่ได้ให้ยกเลิก แต่ให้ปรับปรุงระบบใหม่แทน”
ทั้งนี้ อ.ดร.อัทธ์ยังชี้ว่า เวียดนามมีระบบฐานข้อมูลตรวจสอบย้อนกลับกับสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) ในรูปแบบ Blockchain ที่เปิดให้ทุกฝ่ายตรวจสอบได้ ทั้งยังมีระบบ KPI สำหรับเจ้าหน้าที่กรมศุลกากร โดยให้โบนัส 5–10% ของรายได้ภาษีเก็บเกินเป้า ซึ่งเป็นระบบที่สร้างแรงจูงใจโดยไม่กระทบความโปร่งใส
“สิงคโปร์ก็ใช้ระบบคล้ายกัน เรียกว่า Paperless คือใช้คนน้อยที่สุดในกระบวนการ เพื่อลดโอกาสทุจริต แต่ระบบต้องมั่นคงและมีเสถียรภาพสูง ไทยควรนำแนวคิดนี้มาปรับใช้ พร้อมพัฒนา AI และ Blockchain เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐาน WCO, WTO และประเทศอาเซียน”
เขากล่าวเพิ่มเติมว่า การปรับระบบดังกล่าวไม่เพียงช่วยลดบุคลากรที่ต้องใช้ในการตรวจตู้สินค้า แต่ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและโปร่งใสในการค้า ลดคนลงให้มากที่สุด ใช้ระบบคอมพิวเตอร์ตรวจสอบแทนเอกสาร เมื่อทำร่วมกับสหรัฐฯ ได้ จะช่วยแก้ปัญหาสินค้าสวมสิทธิ์ที่ไทยเผชิญอยู่ตอนนี้
ในแง่ความเป็นไปได้ อ.ดร.อัทธ์มองว่า แม้การแก้กฎหมายอาจใช้เวลา แต่ระบบคอมพิวเตอร์สามารถเริ่มต้นได้ทันที โดยใช้กลไกของรัฐบาลเร่งรัดให้หน่วยงานหลัก เช่น กระทรวงอุตสาหกรรม กรมศุลกากร และกระทรวงพาณิชย์ เชื่อมโยงข้อมูลภายใน 2 เดือนแรก และใช้เวลาอีก 2 เดือนเชื่อมต่อกับ USTR
“ระบบ Single Window ของไทยพูดกันมานาน แต่ยังไม่สำเร็จ เพราะแต่ละหน่วยงานออกแบบต่างกันหมด หากรัฐบาลตั้งใจปลดล็อกภายใน 4 เดือน จะสามารถเริ่มเชื่อมโยงระบบร่วมกับสหรัฐฯ ได้ แม้ยังไม่สมบูรณ์แบบ แต่ก็แสดงให้เห็นว่าไทยจริงจังในการสร้างความโปร่งใสทางการค้า”
เขาทิ้งท้ายว่า หากไทยทำได้ตามนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการสร้างระบบการค้าที่ยั่งยืน โปร่งใส และสอดคล้องกับมาตรฐานโลก พร้อมเป็น 'การนับหนึ่ง' ที่จะต่อยอดสู่ความร่วมมือระหว่างประเทศในระยะยาว