'ศุภจี' ลุยลดค่าครองชีพประชาชน เร่งดูแลราคาสินค้าเกษตร

06 ต.ค. 2568 | 04:32 น.
อัปเดตล่าสุด :06 ต.ค. 2568 | 06:26 น.

'ศุภจี' รมว.พาณิชย์ เผยราคาสินค้าเกษตรยังผันผวน เร่งรักษาเสถียรภาพด้านราคา ลดค่าครองชีพ ประชาชน ร่วมมือกับสมาคมโรงพยาบาลเอกชน เปิดให้ประชาชนเลือกซื้อยาเองได้ ลดภาระค่ารักษา เบื้องต้นมีเอกชนเข้าร่วมกว่า 100 แห่ง

KEY

POINTS

  • กระทรวงพาณิชย์เร่งดูแลราคาสินค้าเกษตรที่ผันผวนจากผลผลิตล้นตลาด โดยใช้มาตรการดูดซับอุปทานและโครงการธงเขียวเพื่อช่วยลดต้นทุนให้เกษตรกร
  • เดินหน้ามาตรการลดภาระค่าครองชีพให้ประชาชนผ่านโครงการธงฟ้า โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดน และสอดรับกับนโยบายรัฐบาล
  • ร่วมมือกับโรงพยาบาลเอกชนเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ โดยเปิดเผยราคายาให้โปร่งใส และให้สิทธิ์ผู้ป่วยเลือกซื้อยาจากภายนอกได้
  • เร่งเจรจาการค้าระหว่างรัฐบาล (G2G) กับหลายประเทศเพื่อระบายสินค้าเกษตรและสินค้าส่งออกที่ชะลอตัว พร้อมหาตลาดใหม่เพิ่มเติม

นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจยังมีความน่ากังวลเพราะว่ามีความผันผวนเกิดขึ้น ทั้งในเรื่องของสินค้าเกษตรกรที่ยังต้องดูความสมดุลและความเสถียรภาพเรื่องราคา ซึ่งทางกระทรวงพาณิชย์ก็ต้องพยายามหามาตรการในการช่วยดูแล อาทิ โครงการธงเขียวช่วยเกี่ยวกับเรื่องของค่าปุ๋ย

"สินค้าเกษตรราคาผันผวนเพราะว่าก็มีผลผลิตออกมาค่อนข้างเยอะ ทำให้เกิดความไม่สมดุลระหว่างอุปสงค์อุปทาน และ เรื่องการดูดซับซับพลายออกมาจากระบบเพื่อไม่ให้ราคาตกต่ำมากเกินไปแล้วก็คงจะต้องดูในเรื่องของการช่วยลดค่าใช้จ่ายของเกษตรกร"

นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของการลดภาระค่าครองชีพประชาชนซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญและรัฐบาลมีความตั้งใจที่จะทำมาตรการระยะสั้น ได้ผลยาว กระจายตัว เช่น โครงการคนละครึ่ง คนละครึ่งพลัส 

ขณะที่ กระทรวงพาณิชย์ ยังคงดำเนินการมาตรการธงฟ้า โดยเฉพาะพื้นที่ 7 จังหวัดชายแดนระหว่างไทยกัมพูชา ซึ่งก็ได้มีโอกาสลงไปดูที่พื้นที่ไปช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา และได้สั่งให้พาณิชย์จังหวัด ช่วยดูแลผู้ประกอบการและประชาชนในบริเวณนั้นมีความต้องการความช่วยเหลือใดๆเป็นพิเศษ 

ทั้งนี้ ยังมีมาตรการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายประชาชนเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพ ตอนนี้ได้ทำงานร่วมกับสมาคมโรงพยาบาลเอกชน ในการเปิดราคายาอย่างโปร่งใส ให้กับประชาชนที่เข้ามารับรักษาพยาบาลได้เห็นราคายาก่อนจ่าย และมีที่จะขอปฏิเสธไม่ซื้อยาที่โรงพยาบาล แต่ว่าไปซื้อที่ร้านค้าข้างนอก เพื่อที่จะลดค่าใช้จ่ายตรงนี้ได้ 

ขณะเดียวหากพูดในมุมมองจะส่งผลกระทบให้กับโรงพยาบาลเอกชนมากหรือเปล่านั้น มาตรการดังกล่าวเป็นการเป็นลักษณะสมัครใจ ไม่ได้บังคับ ซึ่งปัจจุบันโรงพยาบาลในสมาคมโรงพยาบาลเอกชน สนใจเข้าร่วม 5 เครือ มีโรงพยายาบประมาณ 100 กว่าแห่ง 

"ถามว่าเราจะไปกดดันให้เอกชนมีรายได้ลดลงหรือเปล่า ในเรื่องของค่ายา ก็จะเป็นเช่นนั้นเพราะว่า ประชาชนมีสิทธิ์ในการไปซื้อยาข้างนอกได้ แต่ว่า ประชาชนก็สามารถมารับบริการเพิ่มเติมได้ที่โรงพยาบาลเอกชน ถ้าเขาสามารถที่จะมีกำลังในการที่จะเข้ามาใช้บริการของเอกชนได้มากขึ้น"

ดังนั้นจำนวนคนที่เข้ามาในโรงพยาบาลเอกชนที่เข้าร่วมในโครงการนี้ก็จะมีจำนวนมากขึ้น ซึ่งก็จะทำให้ลดความแออัดของโรงพยาบาล ทางภาครัฐด้วยเช่นกัน เพราะประชาชนมีทางเลือก ในการที่จะไปซื้อยา ถือว่าเป็นการช่วยเหลือทั้งประชาชน และโรงพยาบาลเอกชน และโรงพยาบาลภาครัฐ

อย่างไรก็ดี มาตรการดังกล่าวเป็นเพียงมาตรการระยะสั้นๆ ในช่วงระยะเวลา 4 เดือนนี้ ในการที่จะช่วยแบ่งเบาภาระในเรื่องของค่าครองชีพของประชาชนโดยทั่วไป

นางศุภจี เปิดเผยว่า เรื่องการส่งออกที่ค่อนข้างชะลอตัว ตอนนี้เราจะเร่งเจรจาในเรื่องของ จีทูจี ในหลายๆประเทศ เพื่อช่วยให้เราสามารถจะระบายสินค้าส่งออกไปได้ เช่น จีน ซึ่งตอนนี้พยายามเจรจาส่งออกข้าวจีทูจี 500,000 ตัน

นอกจากนี้ยังมีการเจรจาจีทูจีกับญี่ปุ่นและสิงคโปร์ เพื่อให้เราสามารถที่จะหาตลาดส่งออกได้ รวมถึงการหาตลาดส่งออกใหม่ๆ ที่มีศักยภาพ เช่น ตลาดตะวันออกกลาง แอฟริกา เอเชียใต้ ซึ่งจะช่วยผลักดันในเรื่องของสินค้าส่งออก ทั้งสินค้าเกษตร และสินค้าอุปโภคบริโภค