นายฉันทพัทธ์ ปัญจมานนท์ อัครราชทูต (ฝ่ายการพาณิชย์) ประจำสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ให้สัมภาษณ์ “ฐานเศรษฐกิจ” วิเคราะห์ถึงโอกาสของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศไทยในประเทศญี่ปุ่นว่า ประเทศญี่ปุ่นในอดีตเคยเป็นผู้นำครองตลาดไมโครชิปของโลกมาอย่างยาวนาน จนกระทั่งในช่วงหลายปีหลัง ก็เริ่มมีประเทศผู้ผลิตชิปอื่นๆ เช่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน ก้าวขึ้นมากินส่วนแบ่งตลาดอิเล็กทรอนิกส์โลกมากขึ้นเรื่อยๆ
อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรม Semiconductor หรือ ชิป ก็ยังสามารถเติบโตอย่างรวดเร็วตามพัฒนาการของเทคโนโลยีของโลก จนกระทั่งโลกของเราพบกับวิกฤติการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งส่งผลให้โรงงานผลิตชิปต้องหยุดการผลิตลงเป็นจำนวนมาก
ซึ่งต้องบอกว่าปัญหาการขาดแคลนชิปส่งผลกระทบต่อญี่ปุ่นในขณะนั้นอย่างมาก เพราะชิปถูกใช้ในการผลิตของหลายๆอุตสาหกรรมตั้งแต่ของเล่นเด็กไปจนถึงอุตสาหกรรมไฮเทค โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมยานยนต์ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมหัวใจหลักของประเทศญี่ปุ่น
แม้ทางญี่ปุ่นเองจะหันไปนำเข้าชิปจากต่างประเทศมากขึ้นเพื่อทดแทนการผลิตในประเทศแล้วก็ตาม แต่ก็ยังคงไม่เพียงพอต่อความต้องการ และได้ส่งผลกระทบต่อการส่งออกของประเทศญี่ปุ่นเป็นอย่างมากก่อนหน้านี้
ทูตพาณิชย์กรุงโตเกียว กล่าวด้วยว่า จากบทเรียนในครั้งนี้ รัฐบาลญี่ปุ่นมองว่าการขาดแคลนชิปเป็นปัญหาใหญ่หลวงของประเทศ จึงได้ประกาศเตรียมเงินสนับสนุนให้ภาคอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เป็นจำนวนถึง 10 ล้านล้านเยน (ราว 2.2 ล้านล้านบาท) ภายใน 10 ปี
ซึ่งงบประมาณจำนวนนี้ ไม่ได้มุ่งหวังเพียงแค่ต้องการแก้ปัญหาใหญ่ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วเท่านั้น แต่ญี่ปุ่นยังมองไกลไปถึงการทวงแชมป์ผู้ผลิตชิปในตลาดโลกกลับคืนมาอีกด้วย โดยมีเป้าหมายระยะใกล้ในการเพิ่มยอดขายเซมิคอนดักเตอร์ให้ได้ถึง 3 เท่าภายในปี 2030 นี้
ไม่เพียงเท่านี้ จากข้อตกลงทางการค้าเพื่อลดภาษีนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นสู่ประเทศสหรัฐฯที่สามารถลดลงมาอยู่ที่อัตรา 15% นั้น เป็นที่น่าสังเกตว่า หนึ่งในข้อแลกเปลี่ยนคือญี่ปุ่นจะเพิ่มการลงทุนในสหรัฐฯ อีก 550,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งรวมถึงอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ด้วย
"ซึ่งผมมองว่าตรงนี้ ญี่ปุ่นไม่ได้เสียเปรียบในข้อตกลงนี้ แต่มันกลับเป็นโอกาสให้ญี่ปุ่นสามารถสร้างความเข้มแข็งในอุตสาหกรรมดังกล่าวนี้ ผ่านความร่วมมือทางเทคโนโลยีกับบริษัทอเมริกัน พร้อมๆกับการขยายตลาดในประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของโลกด้วย"
นายฉันทพัทธ์ วิเคราะห์ถึงโอกาสสำหรับประเทศไทยว่า ไทยได้มีการผลิตเซมิคอนดักเตอร์และชิปมาเป็นเวลากว่า 50 ปีแล้ว โดยในปัจจุบันประเทศไทยมีการส่งออกสินค้าในกลุ่มนี้เป็นอันดับหนึ่ง โดยคิดเป็น 19.75% ของมูลค่าการส่งออกรวมทั้งประเทศ
แต่อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่าการผลิตของไทยนั้นเป็นการผลิตให้บริษัทจากประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งประเทศไทยจะใช้โอกาสในการขยายตัวของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ญี่ปุ่นได้อย่างไรนั้น โดยส่วนตัวคิดว่าเราจะต้องนำจุดแข็งของประเทศไทยเข้าไปเชื่อมโยงให้ได้
ทูตพาณิชย์ วิเคราะห์จุดแข็งของประเทศไทยว่า คือ แรงงานฝีมือ ซึ่งประเทศไทยมีการสั่งประสบการณ์และต่อยอดความรู้มากว่า 50 ปีแล้วนั่นเอง เพราะประเทศไทยเรานั้นไม่เพียงจะสามารถผลิตตามโจทย์เทคโนโลยีที่มีความซับซ้อนมากขึ้นอย่างต่อเนื่องได้เท่านั้น เรายังสามารถสร้างคุณค่าและมูลค่าเพิ่มลงไปได้อีกด้วย เช่น การต่อยอดด้วย machine learning หรือปัญญาประดิษฐ์ (AI) เป็นต้น
และนี่เป็นเหตุว่าทำไม แม้ว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ทรัมป์จะพยายามทุกวิถีทางให้บริษัทอเมริกันที่ไปลงทุนในต่างประเทศนั้นย้ายฐานไปยังประเทศอเมริกา ก็ยังต้องยอมให้กับบริษัทอุตสาหกรรมนี้ยังอยู่กับประเทศไทยต่อไป ทั้งนี้ เป็นเพราะในการสร้างบุคลากรและแรงงานฝีมือให้ได้ระดับที่ประเทศไทยมีนั้น ว่ากันว่าอาจจะต้องใช้เวลาร่วม 10 ปีเลยทีเดียว
"ดังนั้นการฉกฉวยโอกาสของไทยที่ดีที่สุดในกรณีนี้ คือ การเชื่อมโยงการร่วมทุนหรือการดึงการลงทุนของบริษัทญี่ปุ่นมาที่ประเทศไทยให้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มบริษัทที่ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาล ซึ่งตรงนี้จะเป็นสารตั้งต้นที่ดีให้บริษัทไทยสามารถเข้าไปอยู่ในห่วงโซ่การผลิตได้ ซึ่งหลังจากนี้ ก็จะมีการทำงานกับทูต BOI อย่างใกล้ชิดเพื่อผลักดันในเรื่องนี้ต่อไป" นายฉันทพัทธ์ กล่าว