นางสาวสุนันทา กังวาลกุลกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ(DITP) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า หลังจากสหรัฐประกาศมาตรการภาษีศุลกากรแบบต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs)อัตรา 19% กรมยังทำงานเชิงรุก ทั้งประชุมรับฟังข้อเสนอจากภาคเอกชนและเก็บข้อมูลรอบด้านว่าได้รับผลกระทบ
โดยก่อนหน้านี้กรมฯได้รับจัดสรรงบ 50 ล้านจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจกรอบ1.15 แสนล้านบาท และกำลังรวบรวมข้อมูลความต้องการและผลกระทบจากภาคเอกชน เพื่อจัดนำแพคเกจพิเศษเสนอ นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พิจารณาเห็นชอบ เสนอเข้าครม. และบอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐต่อไป
นอกจากนี้ อาจจะต้องมีการปรับเงื่อนไขโครงการSMEs Pro-active จากเดิมงบสนับสนุนเปิดตลาดส่งออกของSMEsสูงสุดไม่เกิน 2 แสนบาท ซึ่งอาจต้องปรับเพิ่มตามน้ำหนักของความเดือดร้อน และปรับเพิ่มโครงการอบรมให้องค์ความรู้สอดคล้องกับสถานการณ์การค้าโลกที่เปลี่ยนแปลงไป หลังภาษีทรัมป์
"ได้รับมอบนโยบายจากท่านรมว.พาณิชย์ ให้รวบรวมพันธมิตรและภารกิจ รวมถึงเป้าหมายการทำงาน ระหว่างกระทรวงพาณิชย์ กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แล้วจัดลงนามความร่วมมือ เพื่อร่วมกันผลักดันตามภารกิจตามเป้าหมาย โดยจะเร่งดำเนินการเพื่อลงนามให้เร็วที่สุด หรือไม่เกินกลางเดือนสิงหาคมนี้"
ทั้งนี้ จากที่ได้มีการประชุมรับฟังข้อเสนอจากภาคเอกชนและเก็บข้อมูลรอบด้านว่าได้รับผลกระทบอย่างไร ซึ่งในส่วนของการให้ความช่วยเหลือทั้งผลกระทบจากภาษีทรัมป์ เบื้องต้น
1. ได้หารือกับกลุ่มธนาคารผ่านโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำพิเศษ(ซอฟต์โลน)
2. มอบหมายสำนักงานพาณิชย์ในต่างประเทศ(ทูตพาณิชย์)ทั่วโลก หาตลาดใหม่ๆ และเก็บข้อมูลรายประเทศถึงสถานการณ์และการปรับนำเข้า ส่งออก และลงทุนกำลังเกิดขึ้นในระยะถัดไป
3.เฝ้าระวังผลกระทบ 2 ด้าน ทั้งสินค้าไทยส่งออกไปสหรัฐ เสียภาษี 19% และ สินค้าสหรัฐที่ส่งมาไทยภาษี0% เรื่องนี้ทีมไทยแลนด์ เตรียมรับผลกระทบจากความต้องการผลักดันสินค้าของสหรัฐหลายรายการมาไทย
ทั้งนี้ ยังเฝ้าระวังและเข้มงวดในสินค้าสวมสิทธิ สินค้าด้อยคุณภาพ รวมถึง Transshipment หรือสินค้าถ่ายลำสินค้า เรื่องนี้กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ และ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ดูแล ซึ่งประเด็นสวมสิทธิเป็นเรื่องที่กังวล ตระหนกและตระหนัก ซึ่งทีมเจรจาคุยกันมาตลอด และเตรียมพร้อมรับมือ ซึ่งจากนี้จะมีมาตรการที่เตรียมไว้ออกมาต่อเนื่อง
4. กรมจะมีการทบทวนและปรับระเบียบและเพิ่มเติมโครงการช่วยเหลือ ส่งเสริม และ กระตุ้นเศรฐกิจ เริ่มด้วยวันที่ 7 สิงหาคมนี้ เปิดให้บริการ “ศูนย์ One Stop Service” ที่ศูนย์ส่งออกสินค้า ถนนรัชดาภิเษก ศูนย์รวมทุกหน่วยงานด้านให้ใบอนุญาต ให้คำปรึกษา ยื่นขอสินเชื่อ และโชว์รูมย่อยของหน่วยงานและสินค้าเด่น กำลังเร่งเพิ่มมาตรการหรือโครงการให้ความช่วยเหลือในการเปิดตลาดส่งออก
นางสาวสุนันทา กล่าวถึงสภาผู้ส่งออกสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย(สรท.)คาดปี2568 ไทยส่งออกขยายตัวได้5-7% นั้น มั่นใจโอกาสส่งออกตัวเลข 5-7% มีสูง ด้วยเหตุผล
1. ภาษีนำเข้าสินค้าไทยสหรัฐเก็บ 19% นั้น เมื่อถามผู้นำเข้าสินค้าไทยในสหรัฐฯ และ ผู้ส่งออก ระบุพอใจ และ รับได้ เพราะเป็นอัตราไม่แตกต่างกันในภูมิภาค ภาพรวมส่งออกไปสหรัฐปีนี้ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรที่แข่งขันได้ยากขึ้น
2. เริ่มเห็นสัญญาณตลาดใหม่ๆเพิ่มขึ้น ดูจางานแมชชิ่งที่กรมจัดเจรจาทางธุรกิจ ระหว่าง 156 บริษัทจาก 29 ประเทศกับบริษัทไทย มีประเทศกลุ่มแอฟริกา เข้าเจรจาสูงกว่าหลายครั้งที่จัดงาน บางประเทศไม่เคยร่วมก็มาร่วม เช่น เคนยา
3. การปรับตัวของภาคเอกชน อย่างไรก็ตาม ขณะนี้กระทรวงพาณิชย์ยังคงเป้าส่งออกปีนี้ขยายตัว 2-3 %
ทั้งนี้ด้านผลกระทบการปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา กรมฯติดตามใกล้ชิด จากรายงานการค้าไทยกับกัมพูชาโดยรวมยังถือว่าปกติ เพียงต้องปรับเส้นทางขนส่งสินค้า ผ่านทางเรือที่แหลมฉบัง และ ส่งผ่านแดนสปป.ลาว ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการประสบปัญหาต้นทุนขนส่งสูงและอาจเจอปัญหาสภาพคล่อง
โดยเบื้องต้นได้หารือกลุ่มธนาคารออกมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำพิเศษ อาทิ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) หรือ EXIM Bank) เตรียมงบ1 หมื่นล้านบาท ช่วยธุรกิจด้านขนส่ง รวมถึงช่วยเหลือผู้ส่งออกอาจขาดสภาพคล่องขนส่งหลังภาษีทรัมป์