โดนัลด์ ทรัมป์ เรียกร้องให้ทั้งสองฝ่าย “หยุดยิงโดยทันที” และเข้าสู่การเจรจาสันติภาพ โดยมีมาเลเซียเป็นเจ้าภาพ ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ในวันนี้ (28 ก.ค. 2568) โดยจะมีตัวแทนจากจีนและสหรัฐเข้าร่วม
อย่างไรก็ตาม ในเบื้องหลังการหยุดยิงที่กำลังเจรจา ยังมีเงื่อนไขแฝงทางการค้าและการเมืองที่อาจส่งผลกระทบลึกซึ้งต่อเศรษฐกิจของทั้งไทยและกัมพูชา โดยเฉพาะประเด็นอัตราภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ที่สหรัฐ ภายใต้การนำของทรัมป์ ประกาศจะเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากทั้งสองประเทศสูงถึง 36% ก่อนหน้านี้ หากยังไม่มีพัฒนาการเชิงบวกทางการเมืองอย่างแท้จริงก่อนวันที่ 1 สิงหาคม 2568
สำหรับการเจรจาไทย-กัมพูชาวันนี้ แม้การเจรจาจะได้ข้อสรุป “หยุดยิง” อย่างเป็นทางการ หากข้อเท็จจริงในพื้นที่กลับพบ “การยั่วยุ” จากฝั่งกัมพูชา เช่น ยิงปืนขู่ หรือเคลื่อนกำลังพลเข้าใกล้แนวชายแดนอย่างผิดปกติซึ่งจะทำให้ความเชื่อมั่นระหว่างประเทศสั่นคลอน โดยเฉพาะต่อสายตาสหรัฐ
ขณะที่ในข้อเท็จจริงของสถานการณ์ในพื้นที่ในวันนี้ (28 ก.ค. 68) กองทัพบกไทยได้โพสต์ข้อความ “เข้าวันที่ 5 5 ทุ่ม เที่ยงคืน ตี 1 ตี 3 ทหารไทยยังไม่ได้พัก มีทุกแบบ ทั้งคืน” สะท้อนความจริงของสถานการณ์ในพื้นที่ที่ยังเปราะบาง หากทางกัมพูชาไม่มีความจริงจังและจริงใจในการหยุดยิงจริงตามที่ฝ่ายไทยออกมาตอกย้ำ ขณะที่ฝ่ายไทยยังพร้อมตอบโต้ตามความเหมาะสมหากฝ่ายกัมพูชายัง "พูดอย่าง ทำอย่าง"
กรณีเช่นนี้ ทรัมป์อาจมองว่าการเจรจาเป็นเพียง “เกมทางการทูต” ไม่มีความจริงใจ จึงมีแนวโน้มสูงที่สหรัฐฯ จะยังคงดำเนินมาตรการภาษีเต็มอัตรา และแช่แข็งความสัมพันธ์ทางการค้ากับทั้งสองประเทศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยทันที
อย่างไรก็ดีหากไทย-กัมพูชา สามารถบรรลุข้อตกลงหยุดยิงได้โดยสงบจริง แต่การเจรจาเรื่อง “เขตแดนพิพาท” ยังไม่มีพัฒนาการหรือกรอบเวลาที่ชัดเจน ยังคงมีความเป็นไปได้ที่สหรัฐจะใช้เหตุผลด้านเสถียรภาพภูมิภาค เป็นเงื่อนไขในการพิจารณาอัตราภาษีต่อไป
เนื่องจากประธานาธิบดีทรัมป์มีจุดยืนชัดว่า จะไม่เจรจาข้อตกลงการค้าใด ๆ กับไทยและกัมพูชา หากความตึงเครียดและการปะทะกันตามแนวชายแดนยังมีอยู่
หากรัฐบาลสหรัฐฯ ไม่ยอมประกาศลดอัตราภาษีภายในเส้นตายวันที่ 1 สิงหาคม และปล่อยให้อัตรา 36% มีผลบังคับใช้จริง เท่ากับว่าสินค้าจากไทยและกัมพูชาจะเผชิญกับกำแพงภาษี 36% ทันที โดยสินค้าเป้าหมายที่ได้รับผลกระทบหลัก ได้แก่
• เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์
• สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม
• ยางล้อรถยนต์
• อัญมณีและเครื่องประดับ
• อาหารแปรรูปและสินค้าเกษตรแปรรูป
โดยที่ผู้ประกอบการไทยจะต้องแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 20–30% ซึ่งส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขัน และอาจสูญเสียคำสั่งซื้อจากสหรัฐฯ ไปยังประเทศคู่แข่ง เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่นสหภาพยุโรป (27 ประเทศ) ที่ได้บรรลุผลการเจรจาและปีดดีลการค้าในเรื่องอัตราภาษีตอบโต้ หรือภาษีต่างตอบแทนกับสหรัฐแล้วในอัตรา 15-20%
นอกจากนี้แม้จะมีการตกลงหยุดยิงได้ในทางการเมืองระหว่างไทย-กัมพูชา แต่ถ้าการเจรจาในระดับเทคนิค เช่น การกำหนดเส้นเขตแดนใหม่ การถอนกำลังพล การรับรองจากสหประชาชาติ หรือการยอมรับโดยประชาคมอาเซียน ยังไม่มีผลในทางปฏิบัติ ก็จะยังเป็น จุดอ่อนที่สหรัฐ ใช้เป็นเหตุในการกดดัน
การชะลอตัวของความคืบหน้าเหล่านี้ อาจนำไปสู่การพิจารณามาตรการลงโทษระลอกใหม่ ไม่ใช่แค่เรื่องภาษี แต่รวมถึง การจำกัดสิทธิพิเศษทางการค้าต่าง ๆ หรือข้อจำกัดด้านความร่วมมือด้านความมั่นคงในอนาคต
ผู้ส่งออกไทยโดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมและอาหารแปรรูปเริ่มเร่งประเมินความเสี่ยงและปรับกลยุทธ์ ดังนี้
• เร่งเจรจาผ่านหอการค้าไทย-สหรัฐฯ และสมาคมผู้ส่งออก เพื่อผลักดันรัฐบาลให้ปฏิรูปกระบวนการเจรจาให้มีผลเป็นรูปธรรม และ “สร้างภาพสันติภาพ” ที่น่าเชื่อถือ
• หาตลาดส่งออกใหม่ โดยเฉพาะในอาเซียน ตะวันออกกลาง และจีน เพื่อลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐ
• เจรจากับผู้นำเข้ารายใหญ่ในสหรัฐฯ เพื่อ “แชร์ภาษี” บางส่วน หรือล็อกคำสั่งซื้อล่วงหน้า
• ปรับห่วงโซ่อุปทานและต้นทุน โดยย้ายบางส่วนการผลิตไปประเทศที่ไม่ถูกรัฐบาลสหรัฐฯ เรียกเก็บภาษี เช่น เวียดนาม
การหยุดยิงระหว่างไทย-กัมพูชา แม้จะเป็นก้าวสำคัญในทางการทูต แต่ยังไม่เพียงพอต่อการฟื้นความเชื่อมั่นจากชาติมหาอำนาจ หากไม่มีการดำเนินการที่เห็นผลในทางปฏิบัติและตรวจสอบได้โดยเฉพาะภายในเส้นตายที่สหรัฐฯ กำหนดไว้ 1 สิงหาคมนี้
ทั้งนี้บทบาทของสหรัฐโดยเฉพาะโดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ใช่แค่การเป็นผู้ไกล่เกลี่ย แต่ยังเป็น “ผู้คุมกติกา” ทางการค้า ที่สามารถกำหนดทิศทางเศรษฐกิจของทั้งไทยและกัมพูชาในระยะยาวได้โดยตรง หากการเมืองชายแดนยังคุกรุ่น ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด สงครามภาษีจะกลายเป็นของจริง และไม่มีฝ่ายใดได้ประโยชน์เลย