สถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างไทย–กัมพูชาที่ยกระดับสู่การปะทะด้วยอาวุธจริง กำลังก่อกระแสกังวลในหมู่ภาคธุรกิจ โดยเฉพาะผู้ประกอบการไทยที่ลงทุนอยู่ในกัมพูชา หรือทำการค้าชายแดนกับกัมพูชา
ล่าสุด นายวรทัศน์ ตันติมงคลสุข ประธานสภาธุรกิจไทย–กัมพูชา เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ขณะนี้ภาคเอกชนไทยกำลังจับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ซึ่งยอมรับว่ามีความเป็นห่วงต่อสถานการณ์ หวั่นว่าอาจเกิดความรุนแรงจากกระแสรักชาติแบบสุดโต่งในกัมพูชา ซึ่งเคยนำไปสู่การจลาจลเผาสถานทูตและธุรกิจไทยในปี 2546
แม้เวลานี้สถานการณ์จะยังอยู่ในพื้นที่ชายแดน แต่หากความขัดแย้งลุกลามเข้าสู่พื้นที่เมืองหลวงหรือย่านธุรกิจ ธุรกิจไทยในกัมพูชาก็มีความเสี่ยงสูงขึ้น (ปัจจุบันมีภาคการผลิต การค้าปลีก และบริการต่าง ๆ ของไทยลงทุนอยู่ในกัมพูชามากกว่า 100 ราย คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 50,000 ล้านบาท)
อย่างไรก็ตาม นายวรทัศน์ย้ำว่า ปัจจุบันกัมพูชามีการลงสัตยาบันในสนธิสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการปกป้องการลงทุนของชาวต่างชาติ หากเกิดเหตุขึ้น ทางการจะต้องมีความรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น แต่หากเกิดจลาจลที่เกินกว่าอำนาจรัฐจะเอาอยู่จะเข้าข่ายที่รัฐต้องรับผิดชอบหรือไม่คงต้องไปดูรายละเอียดของสนธิสัญญา
นายวรทัศน์ กล่างอีกว่า สถานการณ์ที่ชายแดนมีผลโดยตรงต่อการขนส่งสินค้าทางบก โดยเฉพาะที่จังหวัดสระแก้ว จันทบุรี และตราด แม้ก่อนหน้ายังมีคำสั่งเปิดด่านแต่ในทางปฏิบัติ “เข้าไม่ได้” เพราะไม่มีการอนุญาตจากฝั่งกัมพูชา ส่งผลให้การค้าไทย–กัมพูชาทางบกหยุดชะงัก
“ตอนนี้ความเสียหายทางเศรษฐกิจคิดเป็น วันละ 500 ล้านบาท และถ้าสถานการณ์ลากยาวไปจนถึงสิ้นปี ตัวเลขการค้าชายแดนจะหายไปไม่ต่ำกว่า 100,000 ล้านบาท ขึ้นกับสถานการณ์และความยืดเยื้อของปัญหา”
ยิ่งไปกว่านั้น หากเกิดกระแสต่อต้านสินค้าไทยในกัมพูชา หรือมีมาตรการแบนสินค้าไทยแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ตามมา มูลค่าความเสียหายในอนาคตอาจสูงถึง 360,000 ล้านบาทต่อปี
ทั้งนี้แม้สภาธุรกิจไทย–กัมพูชายังไม่มีการออกคำแนะนำพิเศษอย่างเป็นทางการ แต่ได้เตือนสมาชิกทุกคนให้จับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และเตรียมพร้อมด้านความปลอดภัย ซึ่งหลายบริษัทก็มีมาตรการภายในรองรับอยู่แล้ว
“สถานการณ์สมัยนี้ไม่เหมือนเดิม คนตามข่าวทัน สื่อโซเชียลไปเร็ว แต่ความเสี่ยงก็ยังอยู่ เรายังต้องภาวนาไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบในอดีตซ้ำอีก” นายวรทัศน์ กล่าวตอนท้าย