SET มั่นใจศก.ไทยยังโตแม้เจอภาษีทรัมป์ ชู JUMP+ ดึงเชื่อมั่นนักลงทุน

12 ก.ค. 2568 | 23:30 น.

“อัสสเดช” ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ มองเศรษฐกิจไทยยังไม่ถดถอย แม้ถูกกดดันจากภาษีสหรัฐฯ 36% พร้อมผลักดันโครงการ JUMP+ หนุน บจ.วางแผนโต 3 ปี ลั่นต้องสร้างความชัดเจนให้นักลงทุนเห็นศักยภาพเหนือ GDP ดึงดูดเงินทุนระยะยาว

นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เปิดเผยถึงมุมมองถึงการที่สหรัฐฯ ประกาศจัดเก็บภาษีนำเข้าไทยในอัตราที่สูงขึ้นและภาพรวมเศรษฐกิจไทย ขณะนี้มีปัจจัยใดที่ยังสนับสนุนภาคการลงทุนเพื่อดึงดูดความเชื่อมั่นของนักลงทุน ว่า ต้องยอมรับความเป็นจริงว่าวันนี้ตลาดมีความผันผวนจากปัจจัยหลายอย่างมาก โดยเฉพาะเรื่องภาษีสหรัฐฯที่ยังไม่มีความชัดเจน และยังเชื่อว่าทีมไทยแลนด์ยังทำงานเต็มที่ เพื่อหาจุดที่เหมาะสมของทั้งสองฝ่ายได้แบบ win-win 

โดยพื้นฐานเศรษฐกิจในปัจจุบันการเติบโตเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านยังถือว่าอยู่ในระดับต่ำ และมีโครงสร้างพื้นฐานที่ต้องแก้ไขปรับปรุงร่วมกัน ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประเมินว่าปี 68 GDP ไทยจะเติบโตได้ที่ 2.3% แต่ยังมีความไม่แน่นอน ที่จะเป็นปัจจัยกดดันทำให้ GDP เติบโตต่ำลงได้ 

 

นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)

 

หากดูตามที่บริษัทจดทะเบียนของไทย ณ วันนี้ในส่วนของ P/E อยู่ในระดับต่ำ แต่ Dividend Yield ถือว่าค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับภูมิภาค ซึ่งโดยพื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังเติบโตไม่ใช่ทดถอย อีกทั้ง หากมองตามพื้นฐานของนักวิเคราะห์หลายแห่งมองว่า Downside Risk ค่อนข้างต่ำ 

ดังนั้น ต้องกลับมาดูที่ปัจจัยพื้นฐานว่าจะทำอย่างไรให้เศรษฐกิจไทยโตขึ้นได้เร็วกว่าเดิม โดยสิ่งหนึ่งที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ พยายามผลักดันอยู่ คือ โครงการส่งเสริมการเพิ่มมูลค่าให้กับบริษัทจดทะเบียน (JUMP+) เพื่อสนับสนุนให้บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ วางแผนเติบโตในอีก 3 ปีข้างหน้า เพื่อสร้างความชัดเจน และคาดหวังว่าจะดึงดูดนักลงทุนให้เห็นถึงศักยภาพบริษัทจดทะเบียนของไทยให้มากขึ้น 

“ท้ายที่สุดแล้ว เท่าที่ฟังจากนักลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนกองทุนต่างประเทศที่พบมาเขาอยากจะได้ความเชื่อมั่นในการเติบโตของธุรกิจเรา ทำยังไงให้เขาเห็นว่ามีศักยภาพโตมากกว่า GDP ด้วยซ้ำไป อยากจะเชิญชวนบริษัทจดทะเบียนทั้งหลาย เข้ามาช่วยกันสื่อสารให้กับนักลงทุนทราบว่าในอนาคตอันใกล้นี้เราจะเติบโตอย่างไร”

 

SET มั่นใจศก.ไทยยังโตแม้เจอภาษีทรัมป์ ชู JUMP+ ดึงเชื่อมั่นนักลงทุน

 

ทั้งนี้ เชื่อว่า ยังมีหลาย "เซกเตอร์" ที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุน และต้องสื่อสารไปให้นักลงทุนรับทราบ เช่น Health care ยังเติบโตอย่างแข็งแกร่ง แต่ทุกภาคส่วนต้องให้ความช่วยเหลือ เพราะทุกวันนี้เติบโตค่อนข้างช้า ซึ่งต้องสร้างความชัดเจนว่าจะเติบโตอย่างก้าวกระโดดได้อย่างไร โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยวที่เป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย  

ขณะเดียวกัน หลายคนมองว่าบริษัทจดทะเบียนเป็นอุตสาหกรรมเก่าจำนวนมาก ซึ่งเป็นเรื่องจริง โดยเป้าหมายหนึ่งที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ พยายามวางแผน คือ ต้องร่วมมือกับหลายหน่วยงานดึงดูดเศรษฐกิจกระแสใหม่ (New Economy) เข้ามาในตลาดทุนเพื่อให้มีความน่าสนใจมากขึ้น รวมถึงยังได้พูดคุยกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อหารือถึงการปรับขั้นตอนหลักกฏเกณฑ์ให้นักลงทุนรายย่อยเข้าถึงได้ตลาดทุนได้ง่ายขึ้นด้วย 

เมื่อถามว่า ในช่วงครึ่งปีหลังตลาดหลักทรัพย์ฯ มีแนวทางสร้างความเชื่อมั่นดึงดูดนักลงทุนได้อย่างไรนั้น นายอัสสเดช กล่าวว่า หากการเจรจาภาษีสหรัฐฯ มีข้อตกลงที่ชัดเจนและไทยสามารถแข่งขันด้านการค้าระหว่างประเทศได้ ก็จะทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจมากขึ้นและวิเคราะห์ได้ว่าอุตสาหกรรมไหนสามารถแข่งขันได้ / และสิ่งที่อยากจะเห็น คือ การใช้งบประมาณของประเทศ เพื่อเป็นตัวกระตุ้นที่จะดึงเศรษฐกิจไทยให้เติบโตได้ 

 

SET มั่นใจศก.ไทยยังโตแม้เจอภาษีทรัมป์ ชู JUMP+ ดึงเชื่อมั่นนักลงทุน

 

ทั้งนี้ เมื่อถามอีกว่า ในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีมาตรการช่วยเหลือ บมจ. อย่างไรบ้างหากไทยถูกจัดเก็บภาษีที่ 36% โดยนายอัสสเดช ระบุว่าทางตลาดทุนสิ่งที่ทำมาโดยตลอดและในอนาคตที่มองเห็นยกตัวอย่างเรื่อง ESG เป็นเรื่องที่ทั่วโลก Active ขึ้น อย่างเช่น CBAM หรือ Carbon Border Adjustment Mechanism คือ มาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป โดยสิ่งที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ อยากทำต่อและทำเพิ่มเติมคือ การเป็นศูนย์กลางสร้างแพลตฟอร์มที่ทำให้บริษัทจดทะเบียนมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการรับมือกับกฎเกณฑ์ใหม่ๆ น้อยลง

“เนื่องจากเราเป็นศูนย์กลาง เป็นตัวเชื่อมได้ว่าเราจะสร้างแพลตฟอร์มกลางอย่างไรให้บริษัทจดทะเบียนมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานในเรื่องพวกนี้น้อยลง ถ้าปล่อยให้ทุกคนออกไปนั่งลงทุน จ้างคน เทรนด์คน ลงระบบเองทุกคน บริษัทเล็กๆเหนื่อยแน่นอน เพราะฉะนั้นหน้าที่ที่เราทำได้ก็คือ การลงทุนในแพลตฟอร์มพวกนี้ เพื่อให้ค่าใช้จ่ายในอนาคตที่จะดำเนินการตรงตามกฎเกณฑ์ของโลกลดลงได้อย่างไร “ 

 

นายอัสสเดช ย้ำว่า ข้อดีของเศรษฐกิจและบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังมีการเติบโต ไม่ได้อยู่ในช่วงทดถอย แม้ว่าจะเติบโตช้าก็ตาม เชื่อว่ายังมีโอกาสในตลาดทุนไทยและยังมีความน่าสนใจอยู่ ซึ่งนักลงทุนควรวิเคราะห์ข้อมูลให้ดีว่าแต่ละบริษัทจดทะเบียนมีภาวะการแข่งขันเป็นอย่างไร ขณะเดียวกัน ต้องยอมรับว่าเรื่องภาษีหากอยู่ในระดับต่ำ หรือ สูง ก็จะมีผลกระทบกับบางธุรกิจบางอุตสาหกรรมที่ส่งออก ดังนั้น ต้องเลือกและวิเคราะห์ข้อมูลให้ดี โดยหน้าที่ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่จะให้ความช่วยเหลือได้ก็คือ การมีข้อมูลที่ถูกต้อง รวดเร็ว และชัดเจน ในการไปตัดสินใจการลงทุน

 

เมื่อถามว่า ในช่วงระยะเวลาที่เหลืออีก 3 สัปดาห์ก่อนถึงวันที่ 1 ส.ค. ที่ภาษีสหรัฐฯ จะมีผลบังคับใช้ซึ่งก่อนหน้านี้ประกาศไว้ที่ 36% ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีความคิดเห็นอย่างไรนั้น ก็มองว่า หากดูทิศทางความเคลื่อนไหวของตลาดที่ผ่านมา ก็มองว่านักลงทุนวิเคราะห์ไว้เรียบร้อยแล้ว เพราะฉะนั้นความผันผวนน่าจะอยู่ในวงแคบและคิดว่ามีข้อมูลเพียงพอในการตัดสินใจแล้ว