รองศาสตราจารย์ ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ถึงสถานการณ์ร้อนแรงในตะวันออกกลาง ภายหลังจากที่ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ สั่งโจมตีโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน 3 แห่ง ได้แก่ Fordow, Natanz และ Isfahan ว่าอาจนำไปสู่ฉากทัศน์ที่ส่งผลกระทบทั้งด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจทั่วโลก
ในฉากทัศน์แรก ถ้าอิหร่านไม่มีศักยภาพทางการทหารอื่นมากนัก มีอาวุธไม่มาก และไม่สามารถผลิตนิวเคลียร์ได้อีกหลังโรงงานถูกทำลาย สงครามอาจยุติลงในระยะสั้น
แต่ในฉากทัศน์ที่สอง ซึ่งมีความเป็นไปได้สูง อิหร่านจะใช้กำลังของตัวเองและพันธมิตรในตะวันออกกลาง เช่นกลุ่มฮูตีโจมตีผลประโยชน์ของอิสราเอลและสหรัฐฯ เป็นระยะ ๆ และอาจเกิดสถานการณ์ที่เลวร้ายเทียบเท่ากับเหตุการณ์ 9/11 ที่กลุ่มอัลกออิดะห์ก่อเหตุจี้เครื่องบิน ขับพุ่งชนตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ (World Trade Center) อาคารเพนตากอน(กระทรวงกลาโหมสหรัฐ) เมื่อวันที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2544 (ค.ศ. 2001)
ทั้งนี้ อิหร่านตอบโต้ว่าโครงการนิวเคลียร์ได้รับความเสียหายเพียงเล็กน้อย และมีการเคลื่อนย้ายยูเรเนียมเสริมสมรรถนะไปไว้ที่อื่นก่อนหน้านี้แล้ว จึงมีความเสี่ยงที่สถานการณ์จะยืดเยื้อและเอาคืนหากอิสราเอลไม่ยอมยุติสงครามก่อน ขณะเดียวกันจะนำไปสู่แรงต่อต้านจากชาวมุสลิมทั่วโลกต่อสหรัฐอเมริกา
ขณะเดียวกันจากที่อิหร่านเตรียมปิดช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งเป็นเส้นทางส่งออกน้ำมันและก๊าซธรรมชาติราว 20% ของโลก หากเกิดขึ้นจริงจะสร้างความปั่นป่วนต่อราคาพลังงานของโลกที่จะพุ่งสูงขึ้น ขณะที่หลายชาติในภูมิภาค เช่น ซาอุดีอาระเบีย ยูเออี กาตาร์ ที่เป็นประเทศผู้ค้าและส่งออกน้ำมันจะถูกลากเข้าสู่ภาวะวิกฤติ
อีกทั้ง เส้นทางเดินเรือในทะเลแดง ที่มีกลุ่มฮูตีควบคุมก็มีความเสี่ยงต่อการโจมตีสายเดินเรือจากเอเชียไปยุโรป ยังต้องวิ่งอ้อมแหลมกู๊ดโฮปในแอฟริกา ทำให้ต้นทุนการขนส่ง ค่าประกันภัยเพิ่มสูงขึ้น กระทบเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในหลายประเทศ
ขณะที่ราคาทองคำในตลาดโลกยังคาดการณ์ยาก เพราะ 60% ถูกควบคุมโดยกองทุนเก็งกำไร (เฮดจ์ฟันด์) แม้ความตึงเครียดจะเพิ่ม แต่ราคาทองคำยังไม่สะท้อนความรุนแรงแบบตรงไปตรงมาในเวลานี้
“หากสถานการณ์นี้ยืดเยื้อและปะทุแรงขึ้น ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกจะรุนแรงกว่าที่ ไอเอ็มเอฟ และ เวิลด์แบงก์ ประเมินไว้ โดย IMF คาดเศรษฐกิจโลกล่าสุด ปีนี้โต 2.3% ส่วนไทย 1.8% ซึ่งยังไม่รวมผลกระทบจากสงครามอิสราเอล–อิหร่าน” ดร.อัทธ์กล่าว
ต่อคำถามที่ว่าสถานการณ์ในครั้งนี้มีโอกาสพัฒนาไปสู่การเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ได้หรือไม่ ดร.อัทธ์ มองว่า โอกาสยังมี “ไม่มาก” ตราบใดที่ จีนและรัสเซียไม่ร่วมวงรบช่วยเหลืออิหร่านที่เป็นพันธมิตร โดยเวลานี้รัสเซียยังอยู่ในภาวะสงครามกับยูเครน แต่แสดงท่าทีต้องการเจรจา ขณะที่จีนเน้นแนวทางสันติผ่านการทูต ส่วนพันธมิตรของอิหร่าน เช่น ปากีสถานและตุรกี แม้มีจุดยืนทางศาสนาใกล้ชิด แต่ยังไม่แสดงเจตนาชัดว่าจะเข้าร่วมสงครามเต็มรูปแบบ
“เว้นแต่จีนและรัสเซียเข้าร่วมวงกับอิหร่านเท่านั้น สงครามโลกถึงจะมีโอกาสเกิดขึ้นจริง โดยสรุปคือโลกกำลังยืนอยู่บนเส้นด้าย สงครามอิสราเอล–อิหร่าน แม้ยังไม่ลุกลามถึงขั้นสงครามโลก แต่กำลังสร้างแรงสั่นสะเทือนรอบด้าน ทั้งราคาน้ำมัน การค้าโลก ภูมิรัฐศาสตร์ และเส้นทางโลจิสติกส์ หากสถานการณ์บานปลาย” ดร.อัทธ์ ระบุ