ความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างไทยและกัมพูชาที่เริ่มปะทุขึ้นอีกครั้ง กำลังสร้างแรงกระเพื่อมทางเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ ล่าสุดทางการกัมพูชาประกาศระงับการนำเข้าน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจากไทย ซึ่งแม้จะยังไม่ส่งผลกระทบโดยตรงในทันที แต่ก็เป็นสัญญาณชัดเจนว่า ทิศทางความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศเริ่มสั่นคลอน
ข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์โดยความร่วมมือจากกรมศุลกากรระบุว่า มูลค่าการค้าไทย-กัมพูชาในปี 2567 อยู่ที่ประมาณ 3.6 แสนล้านบาท แบ่งเป็นการค้าชายแดนกว่า 1.7 แสนล้านบาท รวมการค้าชายแดนและผ่านแดนกว่า 1.8 แสนล้านบาท หากข้อพิพาทยกระดับจนถึงขั้นปิดด่านการค้าทุกช่องทาง 100% อาจส่งผลให้การค้าสองประเทศในปีนี้ ลดลงมากกว่า 50% หรือสูญเสียมูลค่ากว่า 1.8 แสนล้านบาท ซึ่งกระทบโดยตรงต่อผู้ประกอบการใน 7 จังหวัดชายแดนไทย รวมถึงการค้าไทย-กัมพูชาในภาพรวม
รองศาสตราจารย์ ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า การตอบโต้ด้วยการระงับนำเข้าน้ำมันจากไทยของกัมพูชาในครั้งนี้ แม้จะมีผลกระทบในระยะสั้นต่อกัมพูชา โดยเฉพาะในด้านพลังงานและสินค้าบริโภคบางประเภท แต่กัมพูชาก็มีทางออก โดยเตรียมหันไปพึ่งการนำเข้าสินค้าจากจีน เวียดนาม รวมถึงประเทศอาเซียนอื่น ๆ เช่น มาเลเซีย และสิงคโปร์
“สินค้าจากจีนและเวียดนามสามารถทดแทนสินค้าไทยได้เกือบทั้งหมด แม้ในระยะสั้นอาจยังไม่สมบูรณ์ แต่กัมพูชาเองก็ไม่ได้มีมาตรฐานการบริโภคที่สูงมากนัก และที่สำคัญคือเขามั่นใจว่าหากต้องหยุดการค้ากับไทย เขาก็มีทางเลือกอื่นรองรับอยู่แล้ว” ดร.อัทธ์ ระบุ
สำหรับ“ส้ม” ที่จะหล่นจากไทยในครั้งนี้ ดร.อัทธ์ มองว่า จะตกไปอยู่ในมือของ เวียดนามและจีน มากที่สุด โดยเฉพาะเวียดนามที่ได้ทั้งตลาดผู้บริโภคและวัตถุดิบจากกัมพูชา เช่น มันสำปะหลังที่ไทยเคยนำเข้าอันดับหนึ่ง หากไทยหยุดรับซื้อ กัมพูชาก็จะส่งต่อให้เวียดนาม ซึ่งจะได้นำไปแปรรูปในอุตสาหกรรมของตนเอง ทำให้มีต้นทุนที่ต่ำลง
ส่วนในกรณีของ มะม่วงแก้วขมิ้น ที่กัมพูชาเคยส่งมาไทยในช่วงนอกฤดูผลไม้ ก็อาจเจอปัญหา เพราะเวียดนามมีผลผลิตภายในประเทศมากไม่เปิดตลาดให้ง่าย และตลาดทางเลือกอย่างจีน ญี่ปุ่น หรือเกาหลีใต้ก็มีข้อจำกัดเรื่องมาตรฐาน ทำให้ผลผลิตเหล่านี้ของกัมพูชาอาจตกค้างหรือได้ราคาต่ำลง และอาจกระทบต่อโรงงานแปรรูปผลไม้ของไทย
“สินค้าไทยโดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภค เช่น เครื่องดื่ม อาหารสำเร็จรูป เครื่องสำอาง หรือรถยนต์ ยังมีจุดแข็งด้านคุณภาพและแบรนด์ แต่หากตลาดถูกปิดอย่างสิ้นเชิง แม้แค่ 6 เดือน ก็เพียงพอให้เวียดนามเร่งพัฒนาสินค้าให้สอดรับกับความต้องการของกัมพูชาได้ทัน และผู้บริโภคจะเริ่มคุ้นกับสินค้าใหม่ ทำให้เราเสียตลาดไปโดยถาวร” ดร.อัทธ์ วิเคราะห์
ด้านการลงทุน ไทยยังเป็นนักลงทุนอันดับ 9 ในกัมพูชา ซึ่งอยู่หลังจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เวียดนาม และมาเลเซีย ขณะที่นักลงทุนจีนยังเดินหน้าลงทุนต่อเนื่องโดยไม่สะดุด แม้ขณะนี้นักลงทุนไทยที่ลงทุนในกัมพูชา เช่น โรงแรม ค้าปลีก ค้าส่ง หรือการเกษตร ยังไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง แต่จากความไม่แน่นอนทางการเมืองอาจนำไปสู่ความเสี่ยงทางธุรกิจ โดยเฉพาะหากเกิดความรุนแรงหรือจลาจลในพื้นที่ที่มีผลประโยชน์ของไทยอยู่
“ตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงอนาคตใน 5-10 ปีข้างหน้า การพึ่งพิงทางเศรษฐกิจของกัมพูชาต่อประเทศไทยจะลดลงอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นนักธุรกิจไทยควรเร่งปรับแผนการค้าและการลงทุน อาทิ ใช้เส้นทางผ่านลาวเพื่อเข้าสู่จีนและเวียดนาม แม้จะมีต้นทุนเพิ่มขึ้น แต่ก็เป็นทางรอดระยะยาว ” รองศาสตราจารย์ ดร.อัทธ์ กล่าว
ทั้งนี้แม้การค้าไทย-กัมพูชาจะคิดเป็นเพียง 2% ของมูลค่าการค้าไทยทั้งหมด แต่ผลกระทบจะรุนแรงกับ ผู้ประกอบการรายย่อยใน 7 จังหวัดชายแดน ซึ่งพึ่งพาตลาดกัมพูชาโดยตรง รัฐบาลต้องเร่งหาตลาดใหม่ กระจายสินค้าไปยังภูมิภาคอื่น เช่น ลุ่มน้ำโขง หรือเอเชียใต้ เพื่อป้องกันไม่ให้ SMEs ไทยต้องเจอทางตันจากข้อพิพาทที่ยังไม่มีแนวโน้มยุติ