นายปรีติ เจริญศิลป์ สส.พรรคประชาชน ในฐานะรองประธานคณะ กมธ.วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.โคนมและผลิตภัณฑ์นม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... คนที่สอง พร้อมด้วย นายนพดล ทิพยชล สส.พรรคประชาชน แถลงข่าวความคืบหน้าการแก้ไข พ.ร.บ.โคนมและผลิตภัณฑ์นม พ.ศ. …. และปัญหานมโรงเรียน กล่าวว่า ปัจจุบันการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.โคนมและผลิตภัณฑ์นม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีความคืบหน้าไปมาก โดยมีการปรับแก้ไขหลายส่วน
เช่น เพิ่มอำนาจคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นม (มิลค์บอร์ด) กำหนดให้องค์ประกอบของคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นม (มิลค์บอร์ด) มีส่วนร่วมจากหลายภาคส่วนมากขึ้น และการเปิดเผยข้อมูลการประชุมสู่สาธารณะเพื่อความโปร่งใส อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อมูลอีกหลายส่วนที่คณะ กมธ.ต้องการทราบ เพื่อนำมาวิเคราะห์ในการแก้ไขร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ จึงได้เชิญเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมและผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์นม รวมทั้งลงพื้นที่พบผู้ประกอบการเพื่อรับทราบข้อมูลและปัญหาต่าง ๆ โดยพบปัญหาที่สำคัญ ดังนี้
1.ปัญหาเด็กนักเรียนได้ดื่มนมโรงเรียนล่าช้าทั่วประเทศ โดยข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้น ระบุว่าในช่วงเปิดเทอมวันแรกนักเรียนได้ดื่มนมโรงเรียนเพียง 5,200 โรงเรียน จากทั้งหมด 26,600 โรงเรียน หรือร้อยละ 19.55 เท่านั้น ซึ่งเกิดจากการออกประกาศหลักเกณฑ์การจัดสรรโควตานมโรงเรียนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ล่าช้า
2. ปัญหานมล้นทั้งระบบ ทั้งน้ำนมดิบและนมโรงเรียน เนื่องจากโครงสร้างการบริหารจัดการของมิลค์บอร์ด และคณะกรรมการอาหารนมเพื่อเด็กและเยาวชน (บอร์ดนมโรงเรียน) ที่มีปลัดกระทรวงเกษตรฯ เป็นประธานทั้ง 2 บอร์ด มีการบริหารจัดการแยกกัน ทั้งในเรื่องการจัดทำบันทึกข้อตกลง (MOU) การซื้อขายน้ำนมโคในเดือนตุลาคมของทุกปี แต่การได้รับสิทธิโควตานมโรงเรียนเป็นช่วงเดือนพฤษภาคมของปีถัดไป
ทำให้ผู้ประกอบการต้องซื้อน้ำนมล่วงหน้าโดยไม่ทราบว่าจะได้รับสิทธิ์ผลิตและจำหน่ายเท่าไหร่ ส่งผลให้มีนมล้นอยู่ในระบบประมาณ 943 ตันต่อวัน จึงต้องหาที่ระบายนมหรือนำมาบรรจุใส่กล่อง UHT นมโรงเรียนเพื่อยืดอายุการเก็บรักษาได้นานขึ้น ปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นทุกปีจนคาดว่ามีนมโรงเรียนแบบกล่อง UHT ค้างอยู่ในระบบเกือบพันล้านกล่องทั่วประเทศ แม้จะมีการเปลี่ยนช่วงเวลาการจัดสรรนมโรงเรียนและการเซ็น MOU เป็นช่วงเวลาเดียวกัน แต่ยังไม่สามารถแก้ปัญหาดังกล่าวได้ เว้นแต่จะมีการปรับเพิ่มการบริโภคนมโรงเรียนจากเดิม 260 วัน เป็น 365 วัน เพื่อให้ผู้ประกอบการที่ได้รับโควตานมโรงเรียนสามารถระบายนมโรงเรียนออกไปได้
ทางคณะ กมธ. ได้รับข้อมูลและข้อร้องเรียนมาจากหลายภาคส่วน ถึงวิธีการจัดสรรโควตานมโรงเรียนที่มีการเปลี่ยนแปลงจากปีที่ผ่านมาเป็นอย่างมาก ทั้งการกำหนดพื้นที่ใหม่ การกำหนดสัดส่วนใหม่ของแต่ละกลุ่ม จนถึงการออกประกาศหลักเกณฑ์การจัดสรรที่สุ่มเสี่ยงจะผิดกฎหมาย และส่อไปในทางเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ประกอบการบางราย รวมถึงข้อร้องเรียนของสถาบันการศึกษา ที่ปีนี้แทบไม่ได้รับโควตานมโรงเรียนเลย
นอกจากปัญหาการบริหารจัดการนมโรงเรียนผิดพลาด ส่งผลต่อการปฏิบัติที่อาจละเมิดข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ จะส่งผลกระทบถึงผู้ประกอบการนมพาณิชย์ เพราะหน่วยงานในกระทรวงเกษตรฯ หยิบยกสถานการณ์น้ำนมดิบล้นตลาดจากโครงการนมโรงเรียนมากล่าวอ้างในการจำกัดการนำเข้านมผงจากต่างประเทศ โดยอนุมัติการนำเข้าเพียงร้อยละ 35 จากที่ภาคเอกชนยื่นขออนุญาต ทั้งที่ประเทศไทยได้ลงนามข้อตกลงการค้าเสรี ซึ่งมีผลบังคับเต็มรูปแบบตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 68
โดยกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ และ กรมการค้าระหว่างประเทศได้ทำหนังสือแจ้งเตือนไปแล้ว การไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงระหว่างประเทศสร้างความไม่เป็นธรรมให้กับผู้ประกอบการนมพาณิชย์ ส่งผลกระทบให้เกิดความเสียหายต่ออุตสาหกรรมนม และเศรษฐกิจของประเทศ
อีกทั้งส่งผลเสียเป็นวงกว้างต่อความน่าเชื่อถือของประเทศไทยในเวทีการค้าโลกอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่ไทยกำลังเจรจา FTA ฉบับใหม่กับสหภาพยุโรป ทั้งนี้ คณะ กมธ. ได้เรียนเชิญปลัดกระทรวงเกษตรฯ ในฐานะประธานมิลล์บอร์ด และประธานบอร์ดนมโรงเรียนมาให้ข้อมูลเมื่อวันพุธที่ 11 มิ.ย. 68 ที่ผ่านมา
พร้อมทั้งขอเอกสารประกอบการพิจารณาเพื่อจะนำไปร่าง พ.ร.บ. ปรากฏว่าปลัดกระทรวงเกษตรฯ มอบหมายให้องค์การส่งเสริมกิจการโคนม (อสค.) มาประชุมแทน แต่ อสค.ก็ไม่สามารถให้คำตอบได้ชัดเจนในทุกคำถาม และตัดสินใจอะไรแทนปลัดกระทรวงฯ ไม่ได้ ประกอบกับไม่ได้นำข้อมูลที่คณะ กมธ. ได้ทำหนังสือขอไปล่วงหน้ามาให้พิจารณาแต่อย่างใด ส่งผลให้การแก้ไขร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้มีความขัดข้องเป็นอย่างยิ่ง ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และรองประธานคณะ กมธ. มีความเห็นว่าปลัดกระทรวงเกษตรฯ ไม่ได้ให้ความสำคัญกับปัญหานมโรงเรียน รวมทั้งความเดือดร้อนของเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมและผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์นม อีกทั้งยังไม่ให้การสนับสนุนข้อมูลเพื่อให้การแก้ไขกฎหมายเป็นไปอย่างรอบครอบ จึงขอเรียกร้องไปยัง รมว.เกษตรและสหกรณ์ ดังนี้