นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานสถาบันเอฟเคไอไอ.รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ พรรคประชาธิปัตย์และอดีตกรรมาธิการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ที่เป็นงบประมาณขาดดุลเรื้อรังต่อเนื่องถึง 19 ปี โดยระบุสาเหตุและแนวทางแก้ไขว่า
ใกล้จะถึงการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีของทุกปีในระยะ10กว่าปีหลังมานี้ จะมีประเด็นข้อเสนอต่อทุกรัฐบาลให้พิจารณาแก้ไขปัญหาการขาดดุลงบประมาณเรื้อรังแต่ข้อเรียกร้องดังกล่าวเหมือนคลื่นกระทบฝั่ง
สำหรับร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ซึ่งเป็นการจัดงบประมาณแบบขาดดุลอีกปีหนึ่งแต่ปีนี้วงเงินขาดดุลงบประมาณสูงเป็นประวัติการณ์ยิ่งทำให้เกิดข้อกังวลมากกว่าทุกครั้ง เนื่องจากประเทศไทยอาจเผชิญวิกฤตหนี้สาธารณะและสูญเสียศักยภาพการเติบโตในระยะยาวเพราะต้องกู้เงินมาปิดหีบงบประมาณต่อเนื่องเป็นปีที่ 19
ประเทศไทยใช้งบประมาณแบบขาดดุลนับตั้งแต่ปี 2550 โดยมีผลกระทบที่สำคัญ ดังนี้
ร่างพ.ร.บ.งบประมาณปี 2569 ขาดดุลงบประมาณ 865,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นระดับขาดดุลสูงสุดในรอบ 19 ปี
ผลคือทำให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP พุ่งจาก 40% ในช่วงวิกฤตโควิด-19 เป็น 66.93% ในปี 2568 และคาดว่าจะแตะเพดาน 70% ภายใน 2 ปี หากเศรษฐกิจเติบโตต่ำกว่า 3.5% ยิ่งกว่านั้นภาระดอกเบี้ยหนี้สาธารณะอาจเกิน 10% ของรายได้สุทธิภายใน 2 ปี ซึ่งในงบปี 2569 รายจ่ายชำระหนี้ปรากฎว่าเป็นการจ่ายดอกเบี้ยมากกว่าเงินต้น
2.1 โครงสร้างรายจ่ายภาครัฐ งบประจำสูงเกินไป งบลงทุนน้อยเกินไป หนี้สาธารณะเพิ่มเร็วเกินไป
งบรายจ่ายประจำสูงถึง 70% โดยเฉพาะในส่วนเงินเดือนข้าราชการและสวัสดิการมีสัดส่วนถึง 23% ของงบประมาณปี 2568 ขณะที่งบลงทุนเหลือเพียง 24.2%และ ลดลงเหลือ 22.7% ในงบปี 2569
ส่งผลให้รัฐบาลต้องกู้เงินชดเชยขาดดุลเพิ่ม ทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นจาก 40% ของ GDP ในช่วงโควิด-19 เป็น 66.93% ในปี 2568 และใกล้แตะเพดาน 70% ในปี 2569 (เกือบ 14 ล้านล้านบาท)
2.2 นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นและประชานิยม
มาตรการช้อปช่วยชาติและบัตรคนจนสร้างการบริโภคชั่วคราว แต่ไม่แก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น การพัฒนาฐานการผลิต รวมทั้งการอุดหนุนราคาสินค้าเกษตรส่งผลให้เกิดหนี้เรื้อรังในภาคเกษตรกรรม และขาดความยั่งยืน
2.3 ระบบภาษีไม่มีประสิทธิภาพ
ฐานภาษีแคบ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจัดเก็บได้เพียง 16% ของ GDP เนื่องจากแรงงานนอกระบบกว่า 20 ล้านคนไม่เข้าสู่ระบบ
การหลีกเลี่ยงภาษีโดยธุรกิจขนาดใหญ่ใช้ช่องโหว่กฎหมายลดหย่อนภาษี ขณะที่ SMEs ถูกเก็บภาษีเต็มอัตรา
2.4 ผลกระทบจากวิกฤตภายนอกและการเมือง
โควิด-19 ทำให้รายได้ท่องเที่ยวหายไปกว่า 270,000 ล้านบาทในปี 2565 ขณะที่ต้องใช้งบประมาณฉุกเฉิน 1.5 ล้านล้านบาท
การเมืองแบบ "ขาดดุลนิยม" นักการเมืองใช้นโยบายขาดดุลเพื่อเพิ่มคะแนนนิยม แม้เศรษฐกิจฟื้นตัวแล้วก็ยังไม่ลดการใช้จ่าย
2.5 ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน
การทุจริตโครงการจัดซื้อจัดจ้างประมูลงานของรัฐทำให้ต้นทุนโครงการสูงเกินจริง ต้องกู้เงินเพิ่ม
การจัดสรรงบประมาณแบบเลือกปฏิบัติเน้นโครงการที่สร้างผลตอบแทนทางการเมือง แทนความจำเป็นทางเศรษฐกิจ
การรั่วไหลของงบประมาณมีข้อวิจารณ์ว่า 40% ของงบประมาณถูกจัดสรรไปยังกลุ่มผลประโยชน์ แทนที่จะใช้พัฒนาประเทศ
2.6 ความท้าทายใหม่เพิ่มภาระงบประมาณ
สังคมสูงวัยจะทำให้ค่าใช้จ่ายสวัสดิการผู้สูงอายุคาดพุ่งเป็น 35% ของงบประมาณภายในปี 2583หรือไม่เกิน14ปีข้างหน้า รัฐบาลต้องออกแบบระบบสวัสดิการแบบยั่งยืน เช่น สร้างอุตสาหกรรมการดูแลสุขภาพลดภาระการให้เงินอุดหนุน
นอกจากนี้สงครามการค้า นโยบายทรัมป์ 2.0 และการแบ่งขั้วเศรษฐกิจในมิติภูมิเศรษฐศาสตร์รวมถึงการสู้รบและความตึงเครียดในหลายภูมิภาคในมิติภูมิรัฐศาสตร์ตลอดจนมิติการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศแบบสุดขั้วล้านเป็นปัจจัยใหม่ที่จะเพิ่มภาระของงบประมาณทั้งสิ้น
1.ลดรายจ่ายภาครัฐ
โดยปฏิรูปภาครัฐลดขนาดภาครัฐและยกเลิกหรือควบรวมหน่วยงานรัฐพาณิชย์ที่ขาดทุนไร้ประสิทธิภาพ
2.เพิ่มรายได้งบประมาณ
โดยการปฏิรูประบบภาษีและขยายฐานภาษีเพิ่มภาษีทรัพย์สินภาษีมรดกและภาษีลาภลอยพร้อมกับป้องกันการรั่วไหลและการทุจริตภาษีอย่างเด็ดขาด
3.เพิ่มรายได้ประเทศ
เพิ่มรายได้ภาครัฐทุกประเภทและเพิ่มรายได้จากการส่งออก
4.ปฏิรูประบบงบประมาณ
โดยใช้ระบบงบประมาณฐานศูนย์( Zero-Based Budgeting)เริ่มจัดสรรงบประมาณจากศูนย์ทุกปี ตัดโครงการไม่จำเป็น
5.ป้องกันและปราบปรามการทุจริตงบประมาณอย่างจริงจัง เพิ่มความโปร่งใสในการบริหารงบประมาณโดยใช้มาตรฐาน OECD ในการเปิดเผยข้อมูลงบประมาณแบบ Real-Time ให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลการใช้จ่ายผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล พร้อมเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูล (Data Visualization) เพื่อตรวจสอบการรั่วไหล
“โดยสรุปการขาดดุลงบประมาณต่อเนื่องเกือบ2ทศวรรษเป็นปัญหาที่สะสมมานานจากนโยบายระยะสั้น การพึ่งพาการกู้เงิน การขาดการปฏิรูปโครงสร้างภาษีและการทุจริตคอรัปชั่น รวมทั้งการขยายตัวทางเศรษฐกิจโตต่ำและโตช้า
แม้รัฐบาลจะมองว่าฐานะการคลังยังแข็งแกร่งจากทุนสำรองระหว่างประเทศ แต่ความเสี่ยงจากการขาดดุลเรื้อรังและหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้นอาจส่งผลกระทบรุนแรงในระยะยาวต่อศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจ ความมั่นคงทางการคลังของประเทศและคุณภาพชีวิตของประชาชน”