งบขาดดุลสูงสุดรอบ 19 ปี สร้างหนี้สาธารณะมหาศาล กระทบอนาคตประเทศ

21 พ.ค. 2568 | 12:34 น.
อัปเดตล่าสุด :21 พ.ค. 2568 | 12:46 น.

“อลงกรณ์-เอฟเคไอไอ.” วิเคราะห์วิกฤตงบประมาณขาดดุลต่อเนื่อง19 ปี สร้างหนี้สาธารณะมหาศาล กระทบอนาคตประเทศและประชาชน หลังรัฐยังใช้นโยบาย “ขาดดุลนิยม” หวังคะแนนเสียง

นายอลงกรณ์ พลบุตร  ประธานสถาบันเอฟเคไอไอ.รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ พรรคประชาธิปัตย์และอดีตกรรมาธิการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ที่เป็นงบประมาณขาดดุลเรื้อรังต่อเนื่องถึง 19 ปี โดยระบุสาเหตุและแนวทางแก้ไขว่า

ใกล้จะถึงการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีของทุกปีในระยะ10กว่าปีหลังมานี้ จะมีประเด็นข้อเสนอต่อทุกรัฐบาลให้พิจารณาแก้ไขปัญหาการขาดดุลงบประมาณเรื้อรังแต่ข้อเรียกร้องดังกล่าวเหมือนคลื่นกระทบฝั่ง

สำหรับร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ซึ่งเป็นการจัดงบประมาณแบบขาดดุลอีกปีหนึ่งแต่ปีนี้วงเงินขาดดุลงบประมาณสูงเป็นประวัติการณ์ยิ่งทำให้เกิดข้อกังวลมากกว่าทุกครั้ง เนื่องจากประเทศไทยอาจเผชิญวิกฤตหนี้สาธารณะและสูญเสียศักยภาพการเติบโตในระยะยาวเพราะต้องกู้เงินมาปิดหีบงบประมาณต่อเนื่องเป็นปีที่ 19

  • ทำไมต้องเร่งแก้ไขปัญหางบขาดดุล

   ประเทศไทยใช้งบประมาณแบบขาดดุลนับตั้งแต่ปี 2550 โดยมีผลกระทบที่สำคัญ ดังนี้ 

1. การขาดดุลต่อเนื่อง หนี้สาธารณะพุ่ง

ร่างพ.ร.บ.งบประมาณปี 2569 ขาดดุลงบประมาณ 865,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นระดับขาดดุลสูงสุดในรอบ 19 ปี

ผลคือทำให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP พุ่งจาก 40% ในช่วงวิกฤตโควิด-19 เป็น 66.93% ในปี 2568 และคาดว่าจะแตะเพดาน 70% ภายใน 2 ปี หากเศรษฐกิจเติบโตต่ำกว่า 3.5%  ยิ่งกว่านั้นภาระดอกเบี้ยหนี้สาธารณะอาจเกิน 10% ของรายได้สุทธิภายใน 2 ปี  ซึ่งในงบปี 2569 รายจ่ายชำระหนี้ปรากฎว่าเป็นการจ่ายดอกเบี้ยมากกว่าเงินต้น

2.สาเหตุสำคัญของการขาดดุลงบประมาณเรื้อรัง

2.1 โครงสร้างรายจ่ายภาครัฐ งบประจำสูงเกินไป งบลงทุนน้อยเกินไป หนี้สาธารณะเพิ่มเร็วเกินไป

งบรายจ่ายประจำสูงถึง 70% โดยเฉพาะในส่วนเงินเดือนข้าราชการและสวัสดิการมีสัดส่วนถึง 23% ของงบประมาณปี 2568 ขณะที่งบลงทุนเหลือเพียง 24.2%และ ลดลงเหลือ 22.7% ในงบปี 2569

ส่งผลให้รัฐบาลต้องกู้เงินชดเชยขาดดุลเพิ่ม  ทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นจาก 40% ของ GDP ในช่วงโควิด-19 เป็น 66.93% ในปี 2568 และใกล้แตะเพดาน 70% ในปี 2569 (เกือบ 14 ล้านล้านบาท)

2.2 นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นและประชานิยม

มาตรการช้อปช่วยชาติและบัตรคนจนสร้างการบริโภคชั่วคราว แต่ไม่แก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น การพัฒนาฐานการผลิต รวมทั้งการอุดหนุนราคาสินค้าเกษตรส่งผลให้เกิดหนี้เรื้อรังในภาคเกษตรกรรม และขาดความยั่งยืน 

2.3 ระบบภาษีไม่มีประสิทธิภาพ

ฐานภาษีแคบ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจัดเก็บได้เพียง 16% ของ GDP เนื่องจากแรงงานนอกระบบกว่า 20 ล้านคนไม่เข้าสู่ระบบ 

การหลีกเลี่ยงภาษีโดยธุรกิจขนาดใหญ่ใช้ช่องโหว่กฎหมายลดหย่อนภาษี ขณะที่ SMEs ถูกเก็บภาษีเต็มอัตรา 

2.4 ผลกระทบจากวิกฤตภายนอกและการเมือง

โควิด-19 ทำให้รายได้ท่องเที่ยวหายไปกว่า 270,000 ล้านบาทในปี 2565 ขณะที่ต้องใช้งบประมาณฉุกเฉิน 1.5 ล้านล้านบาท 

 การเมืองแบบ "ขาดดุลนิยม"  นักการเมืองใช้นโยบายขาดดุลเพื่อเพิ่มคะแนนนิยม แม้เศรษฐกิจฟื้นตัวแล้วก็ยังไม่ลดการใช้จ่าย 

 2.5 ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน

การทุจริตโครงการจัดซื้อจัดจ้างประมูลงานของรัฐทำให้ต้นทุนโครงการสูงเกินจริง ต้องกู้เงินเพิ่ม 

การจัดสรรงบประมาณแบบเลือกปฏิบัติเน้นโครงการที่สร้างผลตอบแทนทางการเมือง แทนความจำเป็นทางเศรษฐกิจ 

การรั่วไหลของงบประมาณมีข้อวิจารณ์ว่า 40% ของงบประมาณถูกจัดสรรไปยังกลุ่มผลประโยชน์ แทนที่จะใช้พัฒนาประเทศ 

2.6 ความท้าทายใหม่เพิ่มภาระงบประมาณ

สังคมสูงวัยจะทำให้ค่าใช้จ่ายสวัสดิการผู้สูงอายุคาดพุ่งเป็น 35% ของงบประมาณภายในปี 2583หรือไม่เกิน14ปีข้างหน้า รัฐบาลต้องออกแบบระบบสวัสดิการแบบยั่งยืน เช่น สร้างอุตสาหกรรมการดูแลสุขภาพลดภาระการให้เงินอุดหนุน

นอกจากนี้สงครามการค้า นโยบายทรัมป์ 2.0 และการแบ่งขั้วเศรษฐกิจในมิติภูมิเศรษฐศาสตร์รวมถึงการสู้รบและความตึงเครียดในหลายภูมิภาคในมิติภูมิรัฐศาสตร์ตลอดจนมิติการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศแบบสุดขั้วล้านเป็นปัจจัยใหม่ที่จะเพิ่มภาระของงบประมาณทั้งสิ้น

 3.แนวทางการแก้ไขปัญหาขาดดุลงบประมาณเรื้อรัง

1.ลดรายจ่ายภาครัฐ

โดยปฏิรูปภาครัฐลดขนาดภาครัฐและยกเลิกหรือควบรวมหน่วยงานรัฐพาณิชย์ที่ขาดทุนไร้ประสิทธิภาพ

2.เพิ่มรายได้งบประมาณ

โดยการปฏิรูประบบภาษีและขยายฐานภาษีเพิ่มภาษีทรัพย์สินภาษีมรดกและภาษีลาภลอยพร้อมกับป้องกันการรั่วไหลและการทุจริตภาษีอย่างเด็ดขาด

3.เพิ่มรายได้ประเทศ

เพิ่มรายได้ภาครัฐทุกประเภทและเพิ่มรายได้จากการส่งออก

4.ปฏิรูประบบงบประมาณ

โดยใช้ระบบงบประมาณฐานศูนย์( Zero-Based Budgeting)เริ่มจัดสรรงบประมาณจากศูนย์ทุกปี ตัดโครงการไม่จำเป็น 

5.ป้องกันและปราบปรามการทุจริตงบประมาณอย่างจริงจัง เพิ่มความโปร่งใสในการบริหารงบประมาณโดยใช้มาตรฐาน OECD ในการเปิดเผยข้อมูลงบประมาณแบบ Real-Time ให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลการใช้จ่ายผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล พร้อมเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูล (Data Visualization) เพื่อตรวจสอบการรั่วไหล 

“โดยสรุปการขาดดุลงบประมาณต่อเนื่องเกือบ2ทศวรรษเป็นปัญหาที่สะสมมานานจากนโยบายระยะสั้น การพึ่งพาการกู้เงิน การขาดการปฏิรูปโครงสร้างภาษีและการทุจริตคอรัปชั่น รวมทั้งการขยายตัวทางเศรษฐกิจโตต่ำและโตช้า

แม้รัฐบาลจะมองว่าฐานะการคลังยังแข็งแกร่งจากทุนสำรองระหว่างประเทศ  แต่ความเสี่ยงจากการขาดดุลเรื้อรังและหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้นอาจส่งผลกระทบรุนแรงในระยะยาวต่อศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจ ความมั่นคงทางการคลังของประเทศและคุณภาพชีวิตของประชาชน”