จากรายงานของกระทรวงพาณิชย์ พบว่า การค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและไทยในไตรมาสแรกของปี 2568 (มกราคม-มีนาคม) เติบโตอย่างแข็งแกร่ง สวนทางกับภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว โดยไทยยังคงได้เปรียบดุลการค้ากับสหรัฐฯ อย่างมีนัยสำคัญ
สำหรับภาพรวมการค้าสหรัฐฯ-ไทย ไตรมาสแรกปี 2568 โดยสหรัฐฯ มีการค้ากับไทยคิดเป็นมูลค่า 22.72 พันล้านดอลลาร์ เติบโตขึ้น 20.40% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยไทยอยู่ในอันดับที่ 17 ของประเทศคู่ค้าสำคัญของสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วน 1.54% ของมูลค่าการค้าทั้งหมดของสหรัฐฯ
ทั้งนี้ สหรัฐฯ มีการนำเข้าสินค้าจากไทยมูลค่า 17.49 พันล้านดอลลาร์ เติบโตถึง 22.96% และอยู่ในอันดับที่ 14 ของประเทศที่สหรัฐฯ นำเข้า คิดเป็นสัดส่วน 1.85% ของการนำเข้าทั้งหมดของสหรัฐฯ
โดยสหรัฐมีการนำข้าสินค้าจากไทย 5 อันดับแรก ได้แก่
ขณะที่สหรัฐฯ ส่งออกไปไทยมีมูลค่าเพียง 5.22 พันล้านดอลลาร์ เติบโต 12.54% และอยู่ในอันดับที่ 22 ของประเทศที่สหรัฐฯ ส่งออก คิดเป็นสัดส่วน 1.00% ของการส่งออกทั้งหมดของสหรัฐฯโดยสหรัฐฯ ส่งออกสินค้า 5 อันดับแรกไปไทย ได้แก่
ส่งผลให้สหรัฐฯ ขาดดุลการค้ากับไทย 12.27 พันล้านดอลลาร์ (หรือไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ) เพิ่มขึ้น 28.00% นับเป็นการขาดดุลการค้าที่สูงที่สุดเป็นอันดับที่ 12 ของสหรัฐฯ
ในภาพรวมการค้าทั่วโลกของ สหรัฐฯ มีมูลค่าการค้าและบริการรวมทั้งสิ้น 2,048.27 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 15.30% โดยนำเข้า 1,221.31 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 23.29% และส่งออก 826.96 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 5.23%
ทำให้สหรัฐฯ ขาดดุลการค้าถึง 394.35 พันล้านดอลลาร์ แม้ตัวเลขการขาดดุลจะลดลง 92.60% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
สำหรับเฉพาะสินค้า (ไม่รวมบริการ) สหรัฐฯ มีมูลค่าทั้งสิ้น 1,470.70 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 16.45% โดยนำเข้า 948.10 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 25.48% และส่งออก 522.61 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 3.01% ทำให้สหรัฐฯ ขาดดุลการค้า 425.49 พันล้านดอลลาร์ แม้จะลดลง 71.40%
อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาคู่แข่งอาเซียน พบว่าอาเซียนเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ไปยังสหรัฐฯ โดยเวียดนามมีมูลค่าสูงสุด 98.44 พันล้านดอลลาร์ เติบโต 27.63% รองลงมาคือ อินโดนีเซีย มูลค่า 39.68 พันล้านดอลลาร์ เติบโต 36.40%, ไทย มูลค่า 17.49 พันล้านดอลลาร์ เติบโต 22.96%, มาเลเซีย มูลค่า 14.63 พันล้านดอลลาร์ เติบโต 30.11% และสิงคโปร์ มูลค่า 11.20 พันล้านดอลลาร์ เติบโต 11.45%
การเติบโตของการนำเข้าสินค้าไทยโดยสหรัฐฯ ที่ 22.96% ต่ำกว่าอัตราการเติบโตเฉลี่ยของการนำเข้าทั้งหมดของสหรัฐฯ ที่ 23.29% เล็กน้อย แต่ยังถือว่าเป็นการเติบโตที่แข็งแกร่ง สะท้อนความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยในตลาดสหรัฐฯ โดยเฉพาะในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์
ขณะที่การเติบโตของการส่งออกจากสหรัฐฯ มายังไทยที่ 12.54% ต่ำกว่าการเติบโตของการนำเข้าอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้ไทยได้เปรียบดุลการค้าเพิ่มขึ้น 28.00% ซึ่งอาจเป็นประเด็นที่นำไปสู่การเจรจาทางการค้าระหว่างสองประเทศในอนาคต เนื่องจากสหรัฐฯ ให้ความสำคัญกับการลดการขาดดุลการค้ากับประเทศคู่ค้าหลัก
อย่างไรก็ตาม ไทยยังมีความท้าทายสำคัญในการแข่งขันกับประเทศในอาเซียน โดยเฉพาะเวียดนามที่เติบโตในอัตราที่สูงกว่า (27.63%) และมีมูลค่าการค้ากับสหรัฐฯ สูงกว่าไทยหลายเท่า รวมถึงอินโดนีเซียและมาเลเซียที่มีอัตราการเติบโตสูงกว่าไทย (36.40% และ 30.11% ตามลำดับ)
1. การรักษาเสถียรภาพการส่งออก ไทยควรรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันและการเติบโตของการส่งออกไปสหรัฐฯ โดยเฉพาะในสินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยีที่มีการเติบโตสูง
2. การสร้างสมดุลทางการค้า เพื่อลดความเสี่ยงจากมาตรการกีดกันทางการค้าจากสหรัฐฯ ไทยควรเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ในสาขาที่ไทยมีความต้องการและเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ
3. การยกระดับมูลค่าเพิ่มของสินค้า ไทยควรเร่งพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีมูลค่าเพิ่มสูง เช่น อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ และระบบอัตโนมัติ เพื่อรักษาความได้เปรียบในตลาดสหรัฐฯ อย่างยั่งยืน
4. การขยายตลาดในสหรัฐฯ เพิ่มการส่งเสริมสินค้าไทยในตลาดสหรัฐฯ โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าที่มีศักยภาพและเติบโตสูง เพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาดและแข่งขันกับประเทศคู่แข่งในอาเซียน
แหล่งข้อมูล: U.S. Bureau of Economic Analysis และ U.S. International Trade Commission