รายงานจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทำให้ผลผลิตด้านการเกษตรทั่วโลกผันผวนและมีปริมาณลดลง โดยเฉพาะพื้นที่ในประเทศเขตร้อนเช่นประเทศไทย ที่ได้รับกระทบต่อพืชเศรษฐกิจหลายอย่าง เช่น ข้าวและอ้อย ที่เพาะปลูกรวมกันราว 60% ของพื้นที่เพาะปลูกทั้งหมด โดยผลผลิตมีแนวโน้มลดลงตามการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
หากมองย้อนไปในปี 2566 เกิดปรากฏการณ์เอลนีโญรุนแรง ปริมาณน้ำในเขื่อนและน้ำฝนอยู่ในระดับต่ำ ส่งผลกระทบต่อผลผลิตทางการเกษตรสำคัญ คาดว่าความเสียหายรวมกว่า 4.8 หมื่นล้านบาท และการเปลี่ยนผ่านจากเอลนีโญไปสู่ลานีญาในปี 2567 ทำให้เกิดน้ำท่วมและน้ำแล้งในปีเดียวกัน ส่งผลให้ผลผลิตข้าวภาคตะวันออกเฉียงเหนืออาจลดลงกว่า 9% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ขณะที่ผลผลิตข้าวภาคเหนือและภาคกลางอาจลดลง 8.6% และ 8.7% ตามลำดับ
นายสมิต ทวีเลิศนิธิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท นิธิฟู้ดส์ จำกัด ผู้ผลิตส่วนผสมอาหาร เครื่องเทศและเครื่องปรุงรส เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ปัจจุบันสภาพอากาศของประเทศไทยตลอดจนภูมิอากาศในภูมิภาคเดียวกันค่อนข้างแปรปรวน มีฝนและน้ำท่วมนอกฤดูหลายเหตุการณ์ ระยะเวลาของแต่ละฤดูก็มีระยะสั้นและระยะยาวไม่คงที่ ผักผลไม้ถ้าแดดไม่ออกก็ไม่มีดอก ที่ออกดอกรอเวลาออกผลต้นปีก็เจอพายุจนดอกร่วงเสียหายหนัก
เรื่องนี้สอดคล้องกับปรากฏการณ์เอลนีโญไปและลานีญา วนเวียนเป็นวงจรไปตามวัฏจักรประมาณ 3 ปี ซึ่งปัจจุบันอาจกินเวลาสั้นลงน้อยกว่า 3 ปี และภาวะโลกร้อนยังส่งผลให้ปรากฏการณ์เกิดความรุนแรงขึ้น ทั้งร้อนจัดและหนาวจัด ซึ่งในช่วงที่ผ่านมานิธิฟู้ดส์เองก็ประสบปัญหาน้ำท่วม ต้องยกเลิกออเดอร์สินค้าไปเป็นจำนวนมาก ขณะที่ช่วงอากาศร้อนจัดผัก ผลไม้ก็สุกก่อนกำหนดการแปรรูป แต่คาดว่าปี 2568 นี้ ผลผลิตด้านการเกษตรจะดีกว่าปีที่ผ่านมา เพราะน้ำดี อากาศดี ฝุ่นควันน้อยลง เกษตรกรปลูกพืชผักได้มากขึ้น
“ผลผลิตของนิธิฟู้ดส์กว่า 80% ส่งให้กับโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่หลายแห่งในประเทศไทยที่เหลือคือส่งออกไปยังสหรัฐฯ รายได้เฉลี่ยประมาณ 370 ล้านบาท โดยมีพืชหลักคือ กระเทียม พริกไทย และอื่นๆ หากมองในภาพรวมปีนี้น่าจะทรงตัวหรือเติบโตขึ้นเล็กน้อยเพราะมีสงครามการค้า ถึงกระนั้นจำนวนผลผลิตก็เป็นส่วนสำคัญ และเกษตรกรไทยมักจะปลูกพืชซ้ำชนิดเดิมในพื้นที่เดิม ปลูกในพื้นที่ไร่เลื่อนลอย ไม่มีกรมชลประทาน หากต้องแก้ปัญหาเพื่อเพิ่มผลผลิตให้ดีต้องมีระบบส่งเสริมการปลูกพืชที่หลากหลายมากขึ้น เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของตลาด และใช้ตลาดนำ ต้องรู้ว่าจะส่งสินค้าไปที่ไหน ขายอย่างไร”
ด้าน นายนพดา อธิกากัมพู ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นพดาซุปเปอร์ฟู้ดส์ จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายกระเทียมดำ ภายใต้แบรนด์ ‘B-Garlic’ กล่าวว่า ผลผลิตกระเทียมไทยส่วนใหญ่ไม่ได้ลดลงแม้สภาวะอากาศแปรปรวน เพราะพื้นที่เพาะปลูกถูกปรับเปลี่ยนและโยกย้ายไปตามสภาพอากาศ เช่น ในจังหวัดลำพูนซึ่งเคยมีพื้นที่ราบลุ่มเหมาะสมกับการปลูกกระเทียม แต่ปัจจุบันอากาศร้อนส่งผลกระทบต่อผลผลิตเกษตรจึงย้ายขึ้นไปปลูกในพื้นที่สูงที่อากาศหนาวมากกขึ้น
“โดยทั่วไปกระเทียมจะเติบโตลงหัวได้เมื่ออุณหภูมิเย็น น้ำหนักหัวกระเทียมจะดี ได้ผลผลิตสูง หากอุณหภูมิร้อนจะเติบโตขึ้นเป็นใบ ฉะนั้นกระเทียมจึงนิยมปลูกในฤดูหนาวช่วงปลายเดือนตุลาคม-กุมภาพันธ์ หากอากาศร้อนขึ้นจะไม่สามารถทำอะไรได้และควบคุมไม่ได้เลย บางครั้งเกษตรกรถึงกลับต้องปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชชนิดอื่น”
ทั้งนี้ มีกระเทียมจากต่างประเทศหลายชนิดที่สามารถนำเข้ามาทดแทนกระเทียมไทยได้ แต่ประเด็นสำคัญคือจะเกิดผลเสียต่อพันธุ์พื้นเมืองของไทย ทำให้กระเทียมสายพันธุ์ไทยซึ่งมีคุณสมบัติดีกว่ากระเทียมต่างประเทศหายไป การพัฒนาและต่อยอดทั้งส่งเสริมกระเทียมไทยโดยมี Story telling จะดีกว่า เช่น ธุรกิจกระเทียมดำของแบรนด์ ‘B-Garlic’ ก็สามารถสร้างรายได้ 115-120 ล้านบาทต่อปี โดยขายในประเทศได้กว่า 70% และอีก 30% สามารถส่งออกไปขายยังต่างประเทศได้ทั้ง ญี่ปุ่น เกาหลี ตะวันออกกลาง ออสเตรเลีย และสหรัฐอเมริกา
ขณะที่ นายวีระ นพวัฒนากร ผู้อำนวยการฝ่ายบัญชีและการเงิน บมจ.ซันสวีท (SUN) กล่าวว่า ซันสวีทปลูกข้าวโพดหวาน บนพื้นที่ปลูกของตัวเองในสัดส่วนเพื่องานวิจัยและพัฒนา แต่ส่วนใหญ่ผลผลิตที่เข้าสู่โรงงานจะเป็น Contract Farming จากเกษตรกรราว 2.5-3 แสนตัน/ปี โดยจะต้องควบคุมผลผลิตให้ได้ตามมาตรฐานของบริษัท ทั้งการให้ปุ๋ย ให้ยา ให้น้ำ ตลอดจนวิธีการปลูกภายใต้ระยะเวลาปลูก 75-80 วันต่อรอบการเก็บเกี่ยว และการปลูกข้าวโพดหวานภายใน 1 ไร่จะให้ผลผลิตประมาณ 2 ตัน เกษตรกรบางรายปลูก 2 รอบก่อนเว้นพื้นที่ปลูกพืชอื่นเพื่อปรับสภาพดิน ก่อนจะวนกลับมาปลูกข้าวโพดหวานอีกรอบ
แน่นอนว่าเรื่องสภาพอากาศค่อนข้างส่งผลต่อผลผลิต หากอากาศแปรปรวน เช่น อากาศหนาวผลผลิตจะออกช้า ต้องใช้เวลา 80-90 วัน ยืดระยะเวลาการเก็บเกี่ยวออกไป ทำให้ขาดแคลนวัตถุดิบ แม้นำเข้าได้แต่ด้วยระยะเวลาจะทำให้สูญเสียคุณค่าทางโภชนาการ เช่น ความหวานก็ไม่ได้มาตรฐาน เมื่อบรรจุเข้ากระป๋องจะมีกลิ่นบูด และถ้าสินค้าไม่อยู่ในไลน์ผลิตก็ต้องทิ้งทั้งหมดหรือนำไปแปรรูปเป็นอาหารสัตว์แทน
“หากต้องการให้มีผลผลิตป้อนเข้าโรงงานอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่สุดคือการวางแผนการปลูกให้กับเกษตร ซึ่งการปลูกข้าวโพดหวานทำได้ง่าย ใช้เวลาสั้น แต่เรื่องสภาพอากาศถือเป็นปัจจัยสำคัญมากที่ไม่สามารถควบคุมได้ นอกจากอากาศหนาวทำให้ผลผลิตออกช้า หากมีฝนต่อเนื่องก็จะปลูกข้าวโพดหวานไม่ได้เลย หากเตรียมแปลงไม่ทัน 7 วัน ภายในรอบการปลูก 75 วันจะทำให้ผลผลิตขาดแคลน”
นายยุทธพงษ์ เรืองศิริ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท เชียงใหม่ เฮลตี้ โปรดักส์ จำกัด ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์จากผึ้ง ภายใต้แบรนด์ “ฟอร่า บี” (Fora Bee) กล่าวว่า สภาพอากาศถือว่ามีผลต่อการเลี้ยงผึ้งและการเก็บน้ำผึ้งเป็นอย่างมาก เพราะน้ำผึ้งได้จากยอดเกสรดอกไม้ที่ผึ้งไปเก็บเข้ารัง หากสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงจนอุณหภูมิสูงขึ้นจะทำให้ดอกไม้ไม่บาน หากมีพายุฝนตกหนักดอกไม้จะร่วงโรย ทำให้ผึ้งเก็บน้ำหวานไม่ได้และผลผลิตน้ำผึ้งจะน้อยลง
โดยในปี 2568 สภาพอากาศถือว่าดีกว่ารอบหลายปีที่ผ่านมา คาดว่าจะช่วยเพิ่มผลผลิตน้ำผึ้งได้เพิ่มกว่า 20-30% สังเกตได้จากดอกต้นลำไยบานสะพรั่งเต็มที่ คาดว่าอัตราการเติบโตของบริษัทน่าจะเพิ่มขึ้น 5% จากรายได้เดิมปี 2566 ประมาณ 310 ล้านบาท แต่ต้องระวังเรื่องยาฆ่าแมลงที่อาจเป็นหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ผึ้งตายได้
อย่างไรก็ดี สภาพภูมิอากาศที่ผันผวนยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องจับตามองถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับภาคเกษตรกรรม และส่งต่อไปยังผลผลิตที่ออกสู่ผู้บริโภคต่อไป