วันนี้ (21 เมษายน 2568) นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์ สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เปิดเผยว่า สถานการณ์ส่งออกข้าวไทยช่วงไตรมาสแรก 2568 มีปริมาณ 2.1 ล้านตันข้าวสาร ลดลงประมาณ30% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจากข้าวขาว 15% ลดลงถึง 53% ผลจากอินเดียกลับมาส่งออกอีกครั้ง รวมถึงประเทศนำเข้าหลักเช่น
ทั้งนี้ ฟิลิปปินส์ก็ยังไม่ได้นำเข้า ซึ่งปีก่อนทั้งปีนำเข้าถึง 4 ล้านตัน คาดว่าปีนี้จะเหลือ 1 ล้านตัน และในส่วนนี้ไทยยังต้องแข่งขันกับอินเดียและเวียดนาม ที่มีราคาต่ำกว่าไทยด้วย โดยเฉพาะราคาข้าวอินเดียถูกกว่าไทยกว่า 40 ดอลลาร์ต่อตัน
ทำให้หลายประเทศสนใจหันไปซื้อแทนไทย อาทิ แอฟริกาใต้ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ทั้งที่ไทยมีปัจจัยหนุนเรื่องราคาตกกว่าปีก่อน อย่างข้าวขาวปีก่อนเฉลี่ย 600 ดอลลาร์ต่อตัน เหลือ 400 ดอลลาร์
"แม้ราคาข้าวไทยจูงใจประเทศนำเข้าซื้อเพิ่มก็ตาม แต่อินเดียกับเวียดนามก็ส่งออกได้มากกว่าไทย ไทยส่งออกได้ 2.1 ล้านตัน อินเดียส่งออกแล้ว 2.4 ล้านตัน
ทั้งปีนี้คาดว่าอินเดียจะส่งได้เกิน 20 ล้านตัน เวียดนามส่งออกแล้ว 2.3 ล้านตัน มีโอกาสสูงที่ปีนี้เวียดนามจะแซงขึ้นเป็นอันดับสองประเทศผู้ส่งออกข้าวโลก แทนไทยที่อาจตกไปเป็นอันดับสาม" นายชูเกียรติ กล่าว
ทั้งนี้ สำหรับทิศทางส่งออกข้าวไทยในไตรมาส2/2568 โดยรวมยังเงียบและคาดว่าตัวเลขส่งออกใกล้เคียงไตรมาสแรก แต่สมาคมฯยังคงเป้าหมายส่งออกข้าวทั้งปีนี้ไว้ที่ 7.5 ล้านตัน ซึ่งจะทำทวนอีกครั้ง ช่วงกลางปี โดยปัจจัยที่ต้องจับตาและมีผลต่อการส่งออกข้าวจากนี้ ได้แก่
1. สถานการณ์นโยบายปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐ และเงื่อนไขต่างๆที่แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ
2. ตลาดจีน หลังราคาข้าวขาวไทยลดลงเฉลี่ยอยู่ที่ 400 ดอลลาร์ต่อตัน เทียบราคาข้าวในจีนเฉลี่ยอยู่ที่ 500 ดอลลาร์ เริ่มทำให้จีนเพิ่มนำเข้ามากขึ้น ก็จะทดแทนปริมาณข้าวที่ลดลงได้ แต่ไทยยังต้องแข่งขันด้านราคากับเวียดนาม อินเดีย และปากีสถาน
3. ตลาดสหรัฐฯ ตอนนี้ตื่นตัวเพิ่มนำเข้าข้าวหอมมะลิจากไทย เพื่อซื้อเป็นสต๊อก ตุนไว้ก่อน หลังทรัมป์เลื่อนเก็บภาษีนำเข้าจากไทยอัตราต่างตอบแทนที่ 36 % ไป 90 วัน ซึ่งตอนนี้ไทยถูกเก็บ 10% จึงเป็นสิ่งจูงใจให้ซื้อเพิ่มไว้ก่อน ซึ่งหลังสงกรานต์จะรู้ว่าสหรัฐเพิ่มสั่งซื้ออีกเท่าไหร่ เพราะต้องใช้เวลาเดินทางไปถึงสหรัฐภายใน 1 เดือน
“จากที่พูดคุยผู้ส่งออกไปสหรัฐ บอกได้ว่าผู้นำเข้าตอบถามราคามาตลอด 1-2 สัปดาห์นี้จะชัดเจนว่าสหรัฐนำเข้าเพิ่มอีกเท่าไหร่ ซึ่งปีหนึ่งสหรัฐนำเข้าข้าวหอมจากทั่วโลก 1.3 ล้านตัน ในจำนวนนี้นำเข้าจากไทย 6.3 แสนตัน ซึ่ง 3 เดือนแรกส่งออกไปแล้วกว่า 2 แสนตัน ในราคาเฉลี่ย 1,000 ดอลลาร์ต่อตัน รวมข้าวชนิดอื่นสหรัฐจะนำเข้าจากไทย 8.3 แสนตัน ที่เรากังวลคือหากสหรัฐปรับภาษีนำเข้าข้าวไทยเป็น 20-25 % หรือ 36 % ราคาข้าวหอมจะพุ่งถึง 1,200-1,3000 ดอลลาร์ต่อตัน แข่งขันก็จะยากขึ้น “นายชูเกียรติ กล่าว
ร.ต.ท.เจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นากสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า ผู้ส่งออกไม่ได้กังวลแค่ อัตราภาษีนำเข้าสินค้าจกาไทยไปสหรัฐเท่านั้น แต่มีประเด็นต้นทุนด้านขนส่งไปสหรัฐ จากกรณีที่ทรัมป์ประกาศจะขึ้นภาษีสินค้าที่ขนส่งทางเรือที่เป็นเรือสร้างในจีนด้วย ที่จะมีผลในเดือนตุลาคมนี้ และกระทบไปทั่วโลก เพราะจีนถือเป็นแหล่งต่อเรือขนส่งรายใหญ่มีสัดส่วนถึง 80%
“หากมีการบังคับใช้จริงจะมีต้นทุนขนส่งที่เพิ่มขึ้นอีกตันละ 6 เหรียญ ตอนนี้ข้าวหอมมะลิไทยไปสหรัฐ เก็บ 10% ยังขายในราคา 1,000 ดอลลาร์ หากบวกขนส่งก็จะเป็น 1,006 ดอลลาร์ หากภาษีนำเข้าเพิ่มอีก ราคาข้าวหอมมะลิไทยจะแพงมาก แข่งขันยาก ซึ่งทรัมป์ 2.0 การค้าและการส่งออกทั่วโลกจะเปลี่ยนแปลงไปอีกมาก เป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายต้องเตรียมพร้อมรับมือ ทั้งรัฐบาลและเอกชน “ ร.ต.ท.เจริญ กล่าว