KEY
POINTS
ในปี 2568 จากเปลี่ยนผ่านรัฐบาลของนางสาวแพทองธาร ชินวัตรสู่รัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกูล หนึ่งในโครงการสำคัญที่น่าจับตาคงหนีไม่พ้น ‘โครงการบ้านเพื่อคนไทย’ ซึ่งมีจุดประสงค์ให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยและคนเริ่มต้นทำงาน (First Jobber) ได้สิทธิซื้อเป็นบ้านหลังแรกมีงวดผ่อน 4,000 บาทต่อเดือน ระยะผ่อน 30-40 ปี แต่ได้สิทธิอยู่อาศัย 99 ปี ผ่านการคัดเลือกจากการจับสลาก โดยมีธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เป็นผู้ปล่อยกู้ซื้อบ้านเพื่อคนไทย ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ 2.5%
ล่าสุดนายอนันต์ โพธิ์นิ่มแดง รองผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย รักษาการผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยว่า ความคืบหน้าโครงการบ้านเพื่อคนไทยนั้น ซึ่งใช้ประโยชน์จากที่ดินของรฟท.โดยเฉพาะที่ดินบนสถานีกลางกรงุเทพอภิวัฒน์ บนแปลง G ซึ่งเป็นแปลงที่ก่อสร้างโครงการบ้านพักคนไทยและเป็นพื้นที่ที่ติดบ้านพักพนักงานอยู่แล้ว
ทั้งนี้ในปัจจุบันตามแผนบริษัทเอสอาร์ที แอสเสท จำกัด (SRTA) หรือบริษัทลูกของรฟท. ได้รับจัดสรรงบกลางเพื่อดำเนินการศึกษาออกแบบและจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) แล้ว คาดว่าดำเนินการใกล้เสร็จภายใน 2 เดือนหรือภายในต้นปี 2569 โดยบริษัทเอสอาร์ทีฯต้องประเมินมูลค่าการลงทุนว่าคุ้มค่าต่อการลงทุนหรือไม่ หากคุ้มค่าสามารถเดินหน้าโครงการต่อได้
นายอนันต์ กล่าวต่อว่า สำหรับการกำหนดโครงการนำร่อง 4 พื้นที่แรก โดยให้ประชาชนลงทะเบียนตรวจสอบคุณสมบัติไว้แล้ว ซึ่งแผนเดิมกำหนดจะดำเนินการจับฉลากภายในเดือนพฤศจิกายนนี้นั้น ขณะนี้คงต้องเลื่อนออกไปก่อน เนื่องจากรฟท.ต้องรอการออกแบบรายละเอียดให้แล้วเสร็จก่อน เพื่อให้เกิดความชัดเจนทั้งโครงสร้างของแบบและจำนวนห้อง และเกี่ยวข้องกับวงเงินในการลงทุนทั้งหมด ก่อนประกาศเรื่องการจับฉลากต่อไป
“ยืนยันว่าการลงทุนโครงการบ้านเพื่อคนไทย จะใช้งบลงทุนจากการบริหารทางการเงินของบริษัทเอสอาร์ทีฯ SRTA ซึ่ง ไม่ได้กระทบต่อเงินลงทุนของ รฟท.” นายอนันต์ กล่าว
นายอนันต์ กล่าวต่อว่า ถึงแม้จะเปลี่ยนแปลงรัฐบาล แต่โครงการยังเดินหน้าต่อ เพราะเป็นโครงการที่ประชาชนได้ประโยชน์ เพราะจากการศึกษาในการใช้ที่ดินรถไฟมีความคุ้มค่า ซึ่งจะต้องรอการออกแบบละเอียดเพื่อดูตัวเลขการลงทุนจริง รวมถึงความคุ้มค่าในการลงทุนของ SRTA จากเดิมที่คาดการณ์ตัวเลขไว้ด้วย
ที่ผ่านมาจากข้อมูลจากธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) พบว่า มีผู้ลงทะเบียนในโครงการบ้านเพื่อคนที่ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติเบื้องต้น มีจำนวนทั้งสิ้น 126,000 ราย
ขณะที่การก่อสร้างโครงการฯ ได้ข้อสรุป ดังนี้ พื้นที่บางซื่อ กม.11 คอนโดมิเนียม 26 ชั้น ,พื้นที่ธนบุรี คอนโดมิเนียม 8 ชั้น ,พื้นที่เชียงราก จังหวัดปทุมธานี คอนโดมิเนียม 8 ชั้น และพื้นที่เชียงใหม่ คอนโดมิเนียม 8 ชั้น ขณะที่บ้านเดี่ยวมีความต้องการลดลงเหลือเพียง 24 หลัง จากเดิม 35 หลัง เพื่อนำไปก่อสร้างเป็นคอนโดมิเนียมแทน
สำหรับโครงการฯนี้ อยู่บนทำเลที่ตั้งของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ทั้ง 4 แห่ง รวม 12,000 ยูนิต ประกอบด้วย 1.ที่ดินบางซื่อ กม. 11 ใกล้สำนักงานใหญ่ ปตท. บนเนื้อที่ 15 ไร่ ซอยวิภาวดี 11 2.ที่ดินธนบุรี บริเวณตลาดศาลาน้ำร้อน ห่างจากรถไฟฟ้าสายสีทองกับรถไฟฟ้าสีส้ม (ปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้าง) 800 เมตร บนเนื้อที่รวม 23 ไร่ 3.ที่ดินเชียงราก จังหวัดปทุมธานี ใกล้สถานีรถไฟเชียงราก และ ม.ธรรมศาสตร์ รังสิต บนเนื้อที่ 18 ไร่ และ4.ที่ดินเปล่าตรงข้ามสถานีรถไฟเชียงใหม่ ถนนเจริญเมือง รวม 15 ไร่
นอกจากนี้จากการศึกษาที่ดินของ รฟท. พบว่า มีพื้นที่ศักยภาพ 112 พื้นที่ ซึ่งผลการศึกษาของที่ปรึกษาโครงการจากมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ได้พิจารณาคัดเลือกจากความพร้อมด้านทำเลที่ตั้ง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความพร้อมในการ Transit Oriented Development (TOD) จำนวน 25 พื้นที่ เช่น ภาคกลาง ประกอบด้วย
กรุงเทพมหานคร ตั้งอยู่บริเวณสถานีรถไฟมีทั้งหมด 5 แปลง ได้แก่ สถานีรถไฟ กม.11 ถึงตึก Enco ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) พื้นที่ 8.93 ไร่ ,สถานีรถไฟธนบุรี (ศิริราช) พื้นที่ 23 ไร่ ,สถานีรถไฟแม่น้ำ (คลองเตย) พื้นที่ 20 ไร่ ,สถานีรถไฟมักกะสัน (ราชปรารภ) พื้นที่ 18.75 ไร่ ,สถานีรถไฟบางซื่อ กม.11 พื้นที่ 20 ไร่
สถานีรถไฟศาลายา จ.นครปฐมพื้นที่ 4 ไร่ , สถานีรถไฟเชียงราก จ.ปทุมธานี พื้นที่ 18.05 ไร่ , สถานีรถไฟนครสวรรค์ จ.นครสวรรค์ พื้นที่15 ไร่,สถานีรถไฟเชียงรากน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา พื้นที่ 133 ไร่ ,สถานีรถไฟลำนารายณ์ จ.ลพบุรี พื้นที่ 31.13 ไร่
อย่างไรก็ดีภาคเหนือ เช่น สถานีรถไฟเชียงใหม่ พื้นที่7.32 ไร่ ,สถานีรถไฟศิลาอาสน์ จ.อุตรดิตถ์ พื้นที่ 6.69 ไร่ ,สถานีรถไฟพิษณุโลก พื้นที่12.81 ไร่ ด้านภาคใต้ ประกอบด้วย สถานีรถไฟหาดใหญ่-1 จ.สงขลา พื้นที่ 23.44 ไร่ ขณะที่ภาคตะวันออก ประกอบด้วย สถานีรถไฟบ้านฉาง เฟส 1 จ.ระยอง พื้นที่ 9 ไร่ ,สถานีรถไฟกบินทร์บุรี เฟส 1 จ.ปราจีนบุรี พื้นที่ 200 ไร่ และภาคอีสาน เช่น สถานีรถไฟนครราชสีมา พื้นที่ 21 ไร่,หนองคาย พื้นที่ 10 ไร่ ฯลฯ
เมกะโปรเจ็กต์ หน้า 8 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,152 วันที่ 27 - 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568