KEY
POINTS
การพลิกฟื้นครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน แต่เป็นการวางยุทธศาสตร์เพื่อใช้จุดแข็งทางภูมิศาสตร์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และเตรียมความพร้อมสำหรับบทบาทใหม่ในฐานะท่าเรือพี่เลี้ยงของโครงการแลนด์บริดจ์ในอนาคต
ตลอดระยะเวลากว่าสองทศวรรษตั้งแต่เปิดให้บริการในปี 2546 ท่าเรือระนองต้องแบกรับภาระขาดทุนมาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งปี 2567 จึงสามารถพลิกกลับมามีกำไรได้เป็นครั้งแรกที่ประมาณ 300,000 บาท และตั้งเป้าจะเพิ่มเป็น 5 ล้านบาทในปี 2568 ความสำเร็จนี้สะท้อนให้เห็นถึงการปรับกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและการบริหารจัดการสินทรัพย์
จากข้อมูลผลการดำเนินงานล่าสุดในช่วง 11 เดือน (ต.ค. 2567 – ส.ค. 2568) ที่ปริมาณตู้สินค้าผ่านท่าเพิ่มขึ้น 6,400 TEU คิดเป็น 140% แสดงให้เห็นถึงอุปสงค์และโอกาสทางการค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านใน BIMSTEC ที่มีศักยภาพการเติบโตสูง
นายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ระบุว่า เพื่อรองรับการเติบโตที่คาดการณ์ไว้ กทท. มีแผนลงทุนและปรับปรุงท่าเรือระนองอย่างเป็นระบบ โดยในระยะสั้นจะมีการจัดสรรงบประมาณ 30 ล้านบาท เพื่อปรับปรุงท่าเทียบเรือและเช่าเครนยกตู้สินค้าภายในปีงบประมาณ 2569
ส่วนในระยะยาวมีการวางแผนลงทุนครั้งใหญ่ราว 4,000-5,000 ล้านบาท เพื่อปรับปรุงท่าเทียบเรือที่ 2 และ 3 ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับตู้สินค้าได้ถึง 35,000 TEU ต่อปี จากเดิม 78,000 TEU เป็น 100,000 TEU ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในระดับภูมิภาค
นอกจากนี้กทท.ยังเตรียมเปิดประมูลให้เอกชนเช่าพื้นที่ด้านหลังท่าเรือระนอง พื้นที่ 10,120 ตารางเมตร ด้วยการปรับลดค่าธรรมเนียมลงอย่างมีนัยสำคัญ จาก 70 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน เหลือเพียง 51 บาท โดยมีราคาจูงใจพิเศษในช่วง 3 เดือนแรก แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจในปัญหาและอุปสรรคที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ซึ่งการปรับปรุงเงื่อนไขให้มีความน่าสนใจมากขึ้นจะช่วยดึงดูดสายการเดินเรือและผู้ประกอบการให้เข้ามาใช้ประโยชน์จากพื้นที่ได้มากขึ้น
“ส่วนสาเหตุที่การเปิดประมูลให้เอกชนเช่าพื้นที่ดังกล่าวมีสัญญาสัมปทานระยะสั้น เนื่องจากบริเวณพื้นที่ท่าเรือระนองติดข้อจำกัดในพื้นที่เพราะเป็นที่ดินของกรมป่าไม้ ซึ่งสัญญาเช่าพื้นที่ระหว่างกทท. และกรมป่าไม้ เหลือระยะเวลาเพียง 22 เดือน ซึ่งจะสิ้นสุดภายในเดือนสิงหาคม 2570 หากในอนาคตมีการต่อสัญญากับกรมป่าไม้ก็สามารถขยายเวลาสัญญาเช่าสัมปทานออกไปอีกได้” นายเกรียงไกร กล่าว
จุดที่น่าสนใจที่สุดของยุทธศาสตร์ท่าเรือระนองคือการกำหนดบทบาทที่ไม่ใช่คู่แข่ง แต่เป็นคู่ขนานและทำงานเสริมกันกับโครงการแลนด์บริดจ์ในอนาคต โดยท่าเรือระนองปัจจุบันจะยังคงเป็น “ท่าเรือชายฝั่ง” ที่เน้นการขนส่งระยะสั้นด้วยเรือขนาดเล็ก (Feeder Vessel) เพื่อเชื่อมโยงการค้ากับตลาดหลักในภูมิภาค เช่น ย่างกุ้งและจิตตะกอง
ขณะที่ท่าเรือน้ำลึกแห่งใหม่ในโครงการแลนด์บริดจ์จะทำหน้าที่เป็น “ท่าเรือหลัก” ที่รองรับเรือแม่ (Mother Vessel) ขนาดใหญ่สำหรับการขนส่งข้ามทวีปโดยตรง การทำงานร่วมกันนี้จะสร้างระบบนิเวศทางโลจิสติกส์ที่เกื้อหนุนกัน โดยการมาถึงของเรือแม่ที่ท่าเรือแลนด์บริดจ์จะสร้างอุปสงค์ในการกระจายสินค้าต่อด้วยเรือเล็ก ซึ่งจะส่งผลให้ท่าเรือระนองปัจจุบันคึกคักยิ่งขึ้น
สำหรับตำแหน่งของท่าเรือระนองในอนาคต หากรัฐบาลเริ่มมีการพัฒนาโครงการแลนด์บริดจ์ ที่จะเชื่อมโยงท่าเรือชุมพร กับท่าเรือระนองแห่งใหม่ เพื่อสร้างเส้นทางลัดการค้าระหว่างอ่าวไทยกับฝั่งอันดามัน บทบาทของท่าเรือระนองจะปรับบทบาทจากท่าเรือหลัก ไปเป็นท่าเรือสนับสนุนที่เน้นตลาดเฉพาะ (Niche Market) เช่น สินค้าแช่แข็ง สินค้าชายแดนไทย-เมียนมา และสินค้า Fast-track ฯลฯ
นายเกรียงไกร ระบุว่า ท่าเรือระนองปัจจุบันมีข้อจำกัดด้านร่องน้ำลึกประมาณ 8 เมตร เหมาะสำหรับเรือ Feeder ขนาดบรรทุก 50-120 ตู้คอนเทนเนอร์ (TEU) ที่เชื่อมโยงการค้ากับตลาดสำคัญอย่างย่างกุ้งและจิตตะกอง ส่วนท่าเรือน้ำลึกใหม่จะถูกออกแบบให้มีร่องน้ำลึก 18 เมตร ยื่นออกไปในทะเล เพื่อรองรับ Mother Vessel ขนาดใหญ่ตั้งแต่ 3,000–20,000 TEU โดยตรง ทำให้ไทยมีท่าเรือฝั่งอันดามันที่สามารถแข่งขันได้ในระดับโลก และเป็นเส้นทางยุทธศาสตร์เลี่ยงช่องแคบมะละกาที่แออัด
นอกจากนี้ท่าเรือระนองยังมีข้อได้เปรียบที่สำคัญคือ “ความเร็ว” จากการเชื่อมโยงกับโครงข่ายโลจิสติกส์ที่ตรงจากจีนตอนใต้ ทั้งทางถนนและระบบราง-ถนน ซึ่งใช้เวลาเพียง 2-3 วัน ในขณะที่เส้นทางเดินเรือผ่านช่องแคบมะละกาใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 3 สัปดาห์
ความรวดเร็วนี้ไม่เพียงแต่ลดต้นทุนและเวลาในการขนส่ง แต่ยังช่วยให้สินค้าจากจีนสามารถเข้าถึงตลาดขนาดใหญ่ในภูมิภาค BIMSTEC ที่มีประชากรรวมกันกว่า 1 ใน 4 ของโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ท่าเรือระนองและโครงการแลนด์บริดจ์กลายเป็น “ทางเลือก” ที่น่าสนใจและเป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการเลี่ยงความแออัดของช่องแคบมะละกา
นอกเหนือจากบทบาททางธุรกิจ ท่าเรือระนองยังถูกวางให้เป็น “พื้นที่ต้นแบบ (Sandbox)” สำหรับโครงการแลนด์บริดจ์ในเชิงนโยบายและปฏิบัติการ โดยจะเป็นฐานทดลองระบบโลจิสติกส์หลายมิติ ทั้งการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ ระบบดิจิทัล ระบบศุลกากร และการพัฒนาในรูปแบบ “ท่าเรือสีเขียว (Green Port)” เพื่อรองรับมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดมากขึ้นในอนาคต
จากประสบการณ์และความรู้ที่ได้จากท่าเรือระนองปัจจุบันจะกลายเป็นแม่แบบสำคัญที่ช่วยให้การพัฒนาท่าเรือระนองแห่งใหม่ของโครงการแลนด์บริดจ์ประสบความสำเร็จและยั่งยืนต่อไปในระยะยาว
การฟื้นคืนชีพของท่าเรือระนองไม่ได้เป็นเพียงแค่การกลับมามีกำไร แต่เป็นการวางยุทธศาสตร์ที่เฉียบคมเพื่อใช้ประโยชน์จากศักยภาพที่ซ่อนอยู่ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างเป็นขั้นเป็นตอน และเตรียมพร้อมสำหรับบทบาทที่สำคัญยิ่งขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฐานะส่วนหนึ่งของโครงการแลนด์บริดจ์ ซึ่งจะช่วยผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์และประตูการค้าที่สำคัญของภูมิภาคอย่างแท้จริง
เมกะโปรเจ็กต์ หน้า 8 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,135 วันที่ 28 กันยายน - 1 ตุลาคม พ.ศ. 2568