KEY
POINTS
ที่ผ่านมา “กระทรวงคมนาคม” ได้ผลักดันสำเร็จโดยนำร่องให้บริการรถไฟฟ้าทั้ง 2 สาย ประกอบด้วย รถไฟสายสีแดงและรถไฟฟ้าสายสีม่วง ซึ่งมีจุดเชื่อมต่อที่สถานีบางซ่อน พบว่าปริมาณผู้โดยสารเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องหากเทียบกับช่วงก่อนเกิดนโยบายนี้
ทั้งนี้เมื่อวันที่ 25 ส.ค.ที่ผ่านมา กระทรวงคมนาคมได้มีการเปิดลงทะเบียนบัตรแรบบิทและบัตร EMV Contactless เพื่อใช้สิทธิ “รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย” ผ่านแอปทางรัฐ ได้เพียงแค่ 2 วัน
พบว่ามีผู้ลงทะเบียนรับสิทธิ์เข้าร่วมโครงการผ่านแอป “ทางรัฐ” แล้ว 258,351 คน แบ่งเป็น ลงทะเบียนบัตรแรบบิท 146,546 คนและบัตร EMV 111,805 คน
ปัจจุบัน “รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย” ที่ครอบคลุมรถไฟฟ้าทั้ง 8 สาย 13 เส้นทาง กลับสะดุดไม่เป็นท่า เมื่อนโยบายดังกล่าวติดปัญหา เนื่องจากต้องรอให้ร่างกฎหมาย 3 ฉบับ ได้แก่ พ.ร.บ.การขนส่งทางราง พ.ศ. …. พ.ร.บ. การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย พ.ศ. ….
และ พ.ร.บ. การบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม พ.ศ. …. ผ่านการพิจารณาจากสภาฯ เป็นเหตุให้ทางกระทรวงคมนาคมได้ประกาศชะลอ “นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย” ออกไปก่อน จากเดิมกำหนดไว้ในวันที่ 1 ต.ค. 2568 โดยกระทรวงคมนาคมประกาศว่าจะเลื่อนใช้ภายในวันที่ 15 พ.ย.2568
จากการประกาศในครั้งนี้ ทำให้ประชาชนที่รอใช้นโยบายนี้กลับไร้ความหวังว่าจะสามารถใช้ได้จริงหรือไม่หรือต้องรอใช้รถไฟฟ้าในราคาแพงแบบนี้ต่อไป
ล่าสุดกระทรวงคมนาคมยังคงเร่งหาทางออกเพื่อแก้ไขปัญหานี้ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ที่ผ่านมากระทรวงคมนาคมมีแผนดำเนินการแก้สัญญาสัมปทานกับเอกชนผู้รับสัมปทานทั้ง 4 เส้นทาง ประกอบด้วย รถไฟฟ้าสายสีชมพู,รถไฟฟ้าสายสีเหลือง,รถไฟฟ้าสายสีเขียว และรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน
สำหรับสัญญาใหม่จะมีการระบุสัญญาแนบท้าย โดยกำหนดเมื่อดำเนินการตามนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายแล้ว ในกรณีที่มีปริมาณผู้โดยสารเพิ่มขึ้นเป็น 25% เอกชนผู้รับสัมปทานต้องแบ่งส่วนแบ่งรายได้เพิ่มให้รัฐเข้ากองทุนรฟม.จากเดิมที่มีการกำหนดสัดส่วนอยู่ที่ 15%
ส่วนการแก้ไขสัญญาสัมปทานของรถไฟฟ้าสายสีเขียว เบื้องต้นทางกรมการขนส่งทางราง (ขร.) อยู่ระหว่างดำเนินการประสานงานร่วมกับกรุงเทพมหานคร (กทม.) เพื่อหารือถึงเรื่องดังกล่าวต่อไป
ทั้งนี้ในระหว่างที่รอร่างกฎหมายทั้ง 3 ฉบับผ่านความเห็นชอบนั้น เบื้องต้นกระทรวงคมนาคมจะมีการหารือร่วมกับการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กรมการขนส่งทางราง (ขร.) เพื่อหาข้อสรุปในกรณีที่แก้สัญญาสัมปทานในการให้เอกชนนำรายได้ชดเชย หากมีปริมาณผู้โดยสารเพิ่มขึ้นเพื่อเข้ากองทุนรฟม.
โดยรฟม.จะนำเงินไปใช้เข้ากองทุนระบบตั๋วร่วมต่อไป ซึ่งจะต้องพิจารณาร่วมกันว่าสามารถดำเนินการได้หรือไม่ จากเดิมที่มีการหารือว่าสามารถดำเนินการได้
นายสุริยะ กล่าวต่อว่า ตามขั้นตอนแก้ไขสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้านั้น ภายหลังการหารือร่วมกันแล้วเสร็จ รฟม.จะสรุปข้อมูลการแก้ไขสัญญาสัมปทานเพื่อเสนอต่อกระทรวงคมนาคมรับทราบภายในวันที่ 31 ส.ค.นี้
ก่อนเสนอต่อคณะกรรมการ (บอร์ด) รฟม.พิจารณาในวันที่ 9 ก.ย.2568 และคณะกรรมการกำกับแก้ไขสัญญา โดยมีรองปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นประธานในวันที่ 16 ก.ย.2568
จากนั้นจะเสนอต่ออัยการสูงสุดตรวจสอบร่างสัญญาภายใน 45 วัน เบื้องต้นจะมีการหารือกับอัยการสูงสุดเพื่อพิจารณาการตรวจร่างสัญญาเร็วขึ้นภายใน 30 วัน ก่อนเสนอไปยังคณะกรรมการ PPP และที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบภายในต้นพ.ย.2568 เพื่อให้มีผลบังคับใช้นโยบายทันในวันที่ 15 พ.ย.2568
ที่ผ่านมากระทรวงได้มีการหารือร่วมกับเอกชนอย่างไม่เป็นทางการถึงการแก้ไขสัญญาสัมปทานแล้ว ซึ่งบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM และบริษัทระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือบีทีเอส
เบื้องต้นเอกชนทั้ง 2 ราย เห็นด้วยและยอมรับแล้วว่าสามารถดำเนินการ ในขณะที่ BEM ยืนยัน ว่าการแบ่งสัดส่วนรายได้เพิ่มขึ้น 25% เป็นตัวเลขที่เหมาะสมจากต้นทุนที่เอกชนต้องเดินรถและการเพิ่มความถี่ของขบวนรถ
แต่ยังคงเป็นเรื่องที่น่ากังวลว่าการแก้ไขสัญญาสัมปทานเพื่อผลักดันนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายนั้น คงไม่ง่าย เพราะตามขั้นตอนในการเจรจากับเอกชนและการแก้ไขสัญญาสัมปทานเป็นเรื่องละเอียดอ่อน
อีกทั้งการจะดำเนินการได้ภายในระยะเวลา 2 เดือนกว่านั้น เชื่อว่าเอกชนผู้รับสัมปทานจะต้องมีการเพิ่มเงื่อนไขในสัญญาที่ทำให้เอกชนไม่เสียผลประโยชน์เช่นกัน ทำให้การเจรจาแก้ไขสัญญาสัมปทานอาจยืดเยื้อและใช้เวลานานมากกว่านั้น
ทั้งนี้เห็นได้จาก “โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา)” ที่ขยับไทมไลน์อยู่บ่อยครั้ง อีกทั้งติดปัญหาสถานการ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19
กระทบต่อสถานะทางการเงินของเอกชนจนนำมาสู่การเจรจาแก้ไขสัญญาที่ยืดเยื้อ ส่งผลให้โครงการล่าช้ามากว่า 5 ปี จนปัจจุบันยังไม่สามารถลงนามแก้ไขสัญญาและเริ่มก่อสร้างได้ตามแผน
อย่างไรก็ดีคงต้องจับตาดู “กระทรวงคมนาคม” ว่าจะสามารถพลิกวิกฤตในครั้งนี้และดำเนินการตามนโยบายที่วางไว้ได้หรือไม่ หรือจะปล่อยให้นโยบายเรือธงรัฐบาลกลับล้มกลางทางกันแน่
เมกะโปรเจ็กต์ หน้า 8 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,127 วันที่ 31 สิงหาคม - 3 กันยายน พ.ศ. 2568