KEY
POINTS
การพัฒนาโครงข่ายรถไฟฟ้าในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลยังคงเป็นหนึ่งในวาระสำคัญที่ภาครัฐเร่งผลักดัน
โดยล่าสุด รถไฟฟ้า 4 สายใหม่ ได้แก่ รถไฟฟ้าสายสีเทา รถไฟฟ้าสายสีเงิน และรถไฟฟ้าสายสีฟ้า รวมถึงรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาล ซึ่งเป็นโครงการที่ถูกจับตาอย่างต่อเนื่อง
สืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2567 คณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก (คจร.) ที่มีนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธาน
โดยที่ประชุมมีมติให้โอนภารกิจการดำเนินการในการก่อสร้างรถไฟฟ้า 3 สายทาง ประกอบด้วย รถไฟฟ้าสายสีเงิน ,รถไฟฟ้าสายสีเทา และรถไฟฟ้าสายสีฟ้า จากกรุงเทพมหานคร (กทม.) มายังกระทรวงคมนาคมและการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เป็นผู้ดำเนินการเพื่อให้การพัฒนาโครงข่ายระบบรางมีความสอดคล้องและเชื่อมต่อกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
แหล่งข่าวจากกระทรวงคมนาคม เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า สำหรับความคืบหน้าโครงการรถไฟฟ้าสายใหม่ทั้ง 4 สายนั้น ปัจจุบัน รฟม.อยู่ระหว่างการทบทวนผลการศึกษา การประเมินความเหมาะสม และการจัดลำดับความสำคัญในการดำเนินการ
ขณะเดียวกันยังต้องคำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพและนโยบายค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ที่จะส่งผลต่อรูปแบบการลงทุนที่เหมาะสมในอนาคต
ซึ่งความคืบหน้าของโครงการเหล่านี้จะเป็นก้าวสำคัญในการขยายโครงข่ายการเดินทางระบบรางของกรุงเทพฯ และปริมณฑลต่อไป
“การจัดลำดับความสำคัญและการดำเนินการของรถไฟฟ้าเหล่านี้ รฟม.ยืนยันว่าไม่สามารถดำเนินการทุกสายพร้อมกันได้ เนื่องจากมีทรัพยากรที่จำกัดและศักยภาพของแต่ละสายในการดำเนินการไม่เท่ากัน จึงจำเป็นต้องมีการจัดลำดับความสำคัญ (Priority) โดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ ซึ่งบางสายอาจต้องรอเวลา 2-3 ปี” แหล่งข่าวจากกระทรวงคมนาคมกล่าว
แหล่งข่าวจากกระทรวงคมนาคม กล่าวต่อว่า สำหรับรถไฟฟ้าสายสีเทา ระยะที่ 1 ช่วงวัชรพล-ทองหล่อ ระยะทาง 16.3 กิโลเมตร วงเงินลงทุน 29,130 ล้านบาท และรถไฟฟ้าสายสีเงินสายสีเงิน ช่วงบางนา-ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะทาง 19.7 กิโลเมตร วงเงินลงทุน 89,948 ล้านบาท ซึ่งเป็นเส้นทางที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) ได้ส่งมอบผลการศึกษามาให้ รฟม. แล้ว
ทั้งนี้จากการประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) รฟม.เมื่อวันที่ 14 ก.ค.ที่ผ่านมา ได้มีความเห็นถึงรถไฟฟ้าสายใหม่ทั้ง 3 สายดังกล่าว ให้รฟม. จัดลำดับความสำคัญแต่ละโครงการ และนำผลการศึกษาเดิมกลับมาทบทวน ตลอดจนผลการศึกษารายงานการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) เนื่องจากข้อมูลเดิมที่มีอยู่ได้ดำเนินการมาสักระยะหนึ่งแล้ว ซึ่งการจัดลำดับความสำคัญใหม่ในครั้งนี้ คาดว่าจะนำเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) รฟม.ได้ภายในเดือน ส.ค.นี้
อย่างไรก็ดีตามแผนหลังจากเสนอต่อบอร์ดรฟม.แล้ว จากนั้น รฟม.จะต้องดำเนินการจ้างบริษัทที่ปรึกษาเพื่อศึกษาและทบทวนผลการศึกษา รวมถึงทำการสำรวจและออกแบบเพิ่มเติม คาดว่าจะเริ่มได้ภายในปีนี้ ใช้ระยะเวลาศึกษาประมาณ 1 ปี
นอกจากนี้จะต้องเร่งทบทวนผลการศึกษารายงานการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) ของทั้ง 2 สายด้วย เนื่องจากในปัจจุบันมีความเป็นไปได้ที่มีการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพในพื้นที่ เช่น การเปลี่ยนแปลงของบ้านเรือน ซึ่งอาจส่งผลต่อการพิจารณาตำแหน่งโครงสร้างของโครงการ
อย่างไรก็ตามยังมีผลการศึกษาเดิมเป็นฐานข้อมูล จะช่วยให้กระบวนการสำหรับรถไฟฟ้าสายสีเงินและรถไฟฟ้าสีเทา สามารถดำเนินการได้ง่ายกว่ารถไฟฟ้าสายสีฟ้า
แหล่งข่าวจากกระทรวงคมนาคม กล่าวต่อว่า ขณะที่ความคืบหน้ารถไฟฟ้าสายสีฟ้า ช่วงดินแดง-สาทร ระยะทาง 9.5 กิโลเมตร ปัจจุบันโครงการนี้ยังไม่ได้มีการศึกษาประมาณการและรูปแบบการลงทุนของโครงการที่ส่งมอบมาให้ รฟม. เลย ทำให้ต้องมีการพิจารณาเบื้องต้นว่าแนวเส้นทางที่เสนอมานั้นมีความน่าสนใจหรือไม่
ทั้งนี้ในเบื้องต้นมีแนวโน้มว่ารถไฟฟ้าสายสีฟ้าจะเป็นระบบขนส่งมวลชนรอง (Feeder) ซึ่งไม่ใช่โครงสร้างขนาดใหญ่ ทำให้ รฟม.จะต้องพิจารณาเลือกประเภทของระบบที่เหมาะสมที่สุด โดยคำนึงถึงข้อจำกัดทางกายภาพเป็นหลัก
“เราจะต้องพิจารณาด้วยว่ารถไฟฟ้าสายสีฟ้า สามารถเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายอื่นๆ อย่างเหมาะสมหรือไม่ หรือจำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนเส้นทาง รวมถึงต้องตรวจสอบสภาพทางกายภาพในเส้นทางนั้นว่าสามารถก่อสร้างได้จริงหรือไม่” แหล่งข่าวจาก รฟม.กล่าว
สำหรับความคืบหน้ารถไฟฟ้าสายสีน้ำตาล ช่วงแคราย-ลำสาลี (บึงกุ่ม) วงเงิน 42,000 ล้านบาท ล่าสุดบอร์ดรฟม.มีความเห็นให้รฟม.กลับไปพิจารณาโครงการให้ครบถ้วนในทุกมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพิจารณาให้สอดคล้องกับนโยบาย ค่าโดยสาร 20 บาทตลอดสาย และรูปแบบการลงทุนที่เหมาะสมกับสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบัน
ขณะนี้รฟม.อยู่ในขั้นตอนการศึกษาและทบทวนโครงการฯ เพื่อสอดรับกับนโยบายอย่างเร่งด่วนก่อนนำกลับไปเสนอต่อบอร์ดรฟม.อีกครั้ง
เมกะโปรเจ็กต์ หน้า 8 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,115 วันที่ 20 - 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2568