ผ่า 4 แนวทาง สแกนรถไฟทางคู่สายใหม่ “สุพรรณบุรี – ชุมทางบ้านภาชี”

05 ก.ค. 2568 | 22:00 น.

“รฟท.” เปิด 4 เส้นทาง ดันรถไฟทางคู่สายใหม่ “สุพรรณบุรี – ชุมทางบ้านภาชี” 65.5 กม. ลุยเคาะแนวทางใหม่ หนุนขนส่งสินค้าเกษตร รับพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมเชื่อมแหลมฉบัง ปักธงเริ่มโปรเจ็กต์ปี 71

รายงานข่าวจากการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยว่า ที่ผ่านมา รฟท.ได้ศึกษาความเหมาะสมของการพัฒนาโครงการรถไฟทางคู่สายใหม่ ซึ่งจะถูกบรรจุอยู่ในแผนพัฒนารถไฟทางคู่ ระยะที่ 3 เป้าหมายเริ่มดำเนินการในปี 2571 เบื้องต้นพบว่าเส้นทางรถไฟ ช่วงสุพรรณบุรี – นครหลวง – ชุมทางบ้านภาชี ถือเป็นเส้นทางที่มีความคุ้มค่าทางการลงทุน และจะตอบโจทย์ดีมานด์การขนส่งสินค้าและผู้โดยสารสูงสุด 

ทั้งนี้จากการศึกษาความเหมาะสม เปรียบเทียบในด้านวิศวกรรม ด้านเศรษฐกิจการลงทุน และด้านสิ่งแวดล้อม พบว่าแนวเส้นทางเลือกที่ 3 (สีน้ำเงิน) ซึ่งมีระยะทาง 65.5 กิโลเมตร มีความเหมาะสมในการพัฒนาสูงสุด เนื่องจากแนวเส้นทางมีระยะทางน้อยที่สุด

สามารถเข้าพื้นที่รองรับการขนส่งสินค้าทางการเกษตร รองรับพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม และท่าเรือ อำเภอนครหลวง หลังจากนั้นเชื่อมมายังรถไฟสายเดิม ที่สามารถขนส่งสินค้าไปยังท่าเรือแหลมฉบังอย่างสะดวก

อย่างไรก็ดีหลังจากที่ปรึกษาโครงการรับฟังความคิดเห็นประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วเสร็จ ซึ่งคัดเลือกแนวเส้นทางที่เหมาะสมแล้ว จากนั้น รฟท.จะเริ่มกระบวนการออกแบบงานก่อสร้าง

คาดว่าจะเริ่มดำเนินการในปีงบประมาณ 2568 โดยใช้เวลาออกแบบ 1 ปีแล้วเสร็จ หลังจากนั้นจะเสนอกระทรวงคมนาคม และคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่ออนุมัติการลงทุน เบื้องต้นจึงคาดว่าจะดำเนินการตามแผนในปี 2571 

ที่ผ่านมา รฟท.ได้ว่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อลงพื้นที่เปิดรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พร้อมนำความเห็นต่างๆ มาเตรียมสรุปผลและเลือกแนวเส้นทางพัฒนาที่มีศักยภาพสูงสุด โดยคัดเลือกจาก 4 เส้นทาง ประกอบด้วย
 

แนวเส้นทางเลือกที่ 1 (สีแดง) : เริ่มจากสถานีสุพรรณบุรีเดิม มุ่งทิศเหนือผ่านทางหลวงหมายเลข 321 พื้นที่ในช่วงนี้เป็นพื้นที่ชุมชนหนาแน่น จึงอาจจำเป็นต้องพิจารณาออกแบบเป็นสะพานยกระดับหรืออุโมงค์ยาวประมาณ 1 กิโลเมตร เพื่อลดผลกระทบด้านการโยกย้ายเวนคืน

จากนั้นแนวเส้นทางจะตัดผ่านพื้นที่ด้านเหนือของเมืองสุพรรณบุรี มุ่งหน้าทิศตะวันออก ผ่านแม่น้ำท่าจีน ข้ามทางหลวงหมายเลข 340

ผ่านทางหลวงหมายเลข 357 เบี่ยงแนวเส้นทางเข้าใกล้ทางหลวงหมายเลข 33 ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาและทางหลวงหมายเลข 309 ใกล้ตัวเมืองป่าโมก

ผ่านทางหลวงหมายเลข 32 และทางหลวงหมายเลข 347 แล้วจึงเบี่ยงแนวเส้นทางมุ่งทิศใต้ รองรับพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม และท่าเรือ อำเภอนครหลวง ผ่านทางหลวงหมายเลข 33 แล้วจึงเข้าบรรจบทางรถไฟเดิม ระยะทางรวมประมาณ 70.8 กิโลเมตร

แนวเส้นทางเลือกที่ 2 (สีเหลือง) : เริ่มจากสถานีสุพรรณบุรีเดิม มุ่งทิศเหนือผ่านทางหลวงหมายเลข 321 พื้นที่ในช่วงนี้เป็นพื้นที่ชุมชนหนาแน่น จึงอาจจำเป็นต้องพิจารณาออกแบบเป็นสะพานยกระดับหรืออุโมงค์ยาวประมาณ 1 กิโลเมตร เพื่อลดผลกระทบด้านการโยกย้ายเวนคืน จากนั้นแนวเส้นทางจะตัดผ่านพื้นที่ด้านเหนือของเมืองสุพรรณบุรี มุ่งหน้าทิศตะวันออก ผ่านแม่น้ำท่าจีน

ก่อนจะเบี่ยงแนวลงทิศใต้เข้ามาใช้แนวเส้นทางตามการศึกษาของ MR10 ตัดทางหลวงหมายเลข 33 มุ่งทิศตะวันออก ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาและทางหลวงหมายเลข 309 ด้านทิศใต้ของตัวเมืองป่าโมก

แล้วจึงเบี่ยงแนวไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ รองรับพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม และท่าเรือ อำเภอนครหลวง ผ่านทางหลวงหมายเลข 33 แล้วจึงเข้าบรรจบทางรถไฟเดิม ระยะทางรวมประมาณ 70.4 กิโลเมตร

แนวเส้นทางเลือกที่ 3 (สีน้ำเงิน) : เริ่มแยกจากแนวทางรถไฟเดิม บริเวณก่อนถึงสถานีสุพรรณบุรีประมาณ 4.5 กิโลเมตร โดยเบี่ยงขวาออกจากทางรถไฟเดิมก่อนถึงจุดตัดทางรถไฟกับทางหลวงหมายเลข 357

มุ่งทิศตะวันออก ขนานทางหลวงหมายเลข 357 ข้ามแม่น้ำท่าจีน ผ่านทางหลวงหมายเลข 340 ผ่านทุ่งรับน้ำบึงผักไห่ ข้ามแม่น้ำน้อย ผ่านพื้นที่บ่อทรายขนาดใหญ่ 

ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาและทางหลวงหมายเลข 309 ด้านทิศใต้ของตัวเมืองป่าโมก ระยะทาง 6 กิโลเมตร ผ่านทางหลวงหมายเลข 347 และทางหลวงหมายเลข 32 ข้ามแม่น้ำลพบุรี แล้วจึงเบี่ยงไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้

ข้ามแม่น้ำป่าสัก รองรับพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม และท่าเรือ อำเภอนครหลวง และผ่านทางหลวงหมายเลข 33 แล้วจึงเข้าบรรจบทางรถไฟเดิม ระยะทางรวมประมาณ 65.5 กิโลเมตร

แนวเส้นทางเลือกที่ 4 (สีเขียว) : เริ่มแยกจากแนวทางรถไฟเดิม บริเวณก่อนถึงสถานีสุพรรณบุรีประมาณ 4.5 กิโลเมตร โดยเบี่ยงขวาออกจากทางรถไฟเดิมก่อนถึงจุดตัดทางรถไฟกับทางหลวงหมายเลข 357 มุ่งทิศตะวันออก ขนานทางหลวงหมายเลข 357 ผ่านด่านทิศใต้ของบ้านผักไห่ 

ผ่านพื้นที่บ่อทรายขนาดใหญ่ด้านทิศใต้ของบ้านป่าโมก ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ผ่านทางหลวงหมายเลข 32 และทางหลวงหมายเลข 347 แล้วจึงเบี่ยงแนวไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ผ่านทางหลวงหมายเลข 32 และทางหลวงหมายเลข 33 แล้วจึงเข้าบรรจบทางรถไฟเดิม ระยะทางรวมประมาณ 69.2 กิโลเมตร