นายนรเศรษฐ์ ปรัชญากร สมาชิกวุฒิสภา และกรรมาธิการวิสามัญศึกษาร่างพระราชบัญญัติเปิดสถานบันเทิงครบวงจร ตั้งคำถามต่อแผนการเปิด “กาสิโน” ในประเทศไทย ผ่านเวทีเสวนา “Entertainment Complex” ที่จัดโดยวิทยุโทรทัศน์รัฐสภา โดยเสนอให้สังคมร่วมถก 3 คำถามหลักก่อนเดินหน้าโครงการขนาดใหญ่ที่จะส่งผลกระทบในระดับโครงสร้างประเทศ
1. โครงการ Entertainment Complex มีความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจจริงหรือไม่?
นายนรเศรษฐ์ ตั้งข้อสังเกตว่า รายได้หลักจากโครงการ Entertainment Complex จะพึ่งพากาสิโนเป็นสำคัญ โดยยกตัวอย่างจากประเทศสิงคโปร์ว่า รายได้จากกาสิโนคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 70% ของรายได้ทั้งหมดของ “รีสอร์ท เวิลด์ เซนโตซา” และสร้างรายได้ภาษีเฉลี่ยราว 15–17% ให้กับรัฐ คิดเป็นเงินประมาณ 20,000 ล้านบาท
“แม้เป็นรายได้ที่น่าดึงดูด แต่ต้องถามว่า คุ้มกับต้นทุนทางสังคมหรือไม่? เหมือนกรณีของบุหรี่ ที่รัฐเก็บภาษีได้ แต่ต้นทุนด้านสุขภาพประชาชนกลับสูงกว่า” เขากล่าว พร้อมเสนอว่ารัฐควรชั่งน้ำหนัก “ต้นทุน-ผลตอบแทน” อย่างจริงจัง ก่อนตัดสินใจเดินหน้าลงทุนในโครงการนี้
2. ประเทศไทยมีศักยภาพควบคุมผลกระทบจากกาสิโนได้แค่ไหน?
จากประสบการณ์ของประเทศเพื่อนบ้าน เช่น กัมพูชา ลาว และเมียนมา การเปิดกาสิโนนำไปสู่ปัญหาสังคมที่ซับซ้อน ทั้งการฟอกเงิน การแพร่ขยายของอาชญากรรมข้ามชาติ การไหลบ่าของกลุ่มทุนต่างชาติ และความเหลื่อมล้ำในท้องถิ่น
เช่น เมืองสีหนุวิลล์ของกัมพูชาซึ่งถูกกลุ่มทุนจีนแปรสภาพให้กลายเป็นเขตกาสิโนขนาดใหญ่ จนเกิดปัญหาราคาที่ดินพุ่งสูง ประชาชนท้องถิ่นถูกเบียดออกจากระบบเศรษฐกิจ และเกิดอาชญากรรมมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“คำถามสำคัญคือ ประเทศไทยจะสามารถควบคุมไม่ให้เกิดปัญหาเช่นนั้นได้หรือไม่ โดยเฉพาะเมื่อดัชนีภาพลักษณ์คอร์รัปชันของไทยปีล่าสุดอยู่ที่ 30 คะแนน ต่ำที่สุดในรอบ 12 ปี เทียบกับสิงคโปร์ที่อยู่ที่ 84 คะแนน” เขาระบุ
3. ประชาชนในพื้นที่มีส่วนร่วมกับการตัดสินใจเพียงพอแล้วหรือยัง?
นายนรเศรษฐ์ตั้งข้อสังเกตว่า แผนการเปิดกาสิโนในไทย เช่น ในกรุงเทพฯ พัทยา เชียงใหม่ หรือภูเก็ต ยังเป็นนโยบาย “บนลงล่าง” ที่ไม่ได้เปิดพื้นที่ให้ประชาชนในท้องถิ่นมีส่วนร่วมตัดสินใจอย่างแท้จริง ทั้งที่ประชาชนจะเป็นผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง
“ถ้าผมเป็นคนกรุงเทพฯ แล้วบินไปเล่นกาสิโนที่ภูเก็ต ปัญหาหนี้สินหรือปัญหาครอบครัวจะกลับมาที่กรุงเทพฯ ไม่ได้จำกัดแค่ในพื้นที่ที่ตั้งกาสิโน” เขากล่าว พร้อมเสนอให้รัฐใช้ “ประชามติ” หรือกระบวนการรับฟังความเห็นประชาชนก่อนดำเนินการจริง
บทเรียนจากเพื่อนบ้าน: ผลกระทบของกาสิโนไม่ใช่เรื่องไกลตัว
นายนรเศรษฐ์ยกตัวอย่างเพิ่มเติมว่า ประเทศเพื่อนบ้านหลายแห่งที่เคยอนุญาตให้เปิดกาสิโน เช่น กัมพูชาและลาว ต่างกลับลำภายหลัง เพราะไม่สามารถควบคุมผลกระทบได้ ทั้งการลักลอบเล่นพนัน ฟอกเงิน และการเกิดเขตเศรษฐกิจพิเศษที่กลายเป็น “เขตอาชญากรรมพิเศษ” โดยเฉพาะในเมียนมา ที่ขาดความสามารถในการบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ
“แม้บางประเทศจะห้ามคนในชาติเล่น เช่น ลาวหรือกัมพูชา แต่เมื่อกฎหมายบังคับใช้ไม่ได้จริง ปัญหาก็ยังเกิด และหนักขึ้นเรื่อย ๆ” กมธ.สว. ย้ำ
กาสิโน = คำตอบสุดท้ายจริงหรือ? หรือยังมีทางเลือกอื่นที่ดีกว่า
ในช่วงท้าย นายนรเศรษฐ์ทิ้งคำถามถึงรัฐบาลว่า ยังมีทางเลือกอื่นหรือไม่ ที่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างการลงทุน และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยได้ โดยไม่ต้องแลกกับความเสี่ยงทางสังคมแบบที่กาสิโนนำมา
“เราควรกล้าตอบให้ชัดเจนว่า ถ้าจะมีโครงการนี้จริง ความคุ้มค่าต่อประเทศในระยะยาวอยู่ตรงไหน และเรามีระบบตรวจสอบ บังคับใช้กฎหมาย และการมีส่วนร่วมของประชาชนมากพอแล้วหรือยัง?” สว.นรเศรษฐ์ ทิ้งท้าย