ในงานเสวนาโต๊ะกลมว่าด้วยสถานบันเทิงครบวงจรของไทย (Thai Entertainment Complex Roundtable – TECR) ที่จัดโดย Inside Asian Gaming (IAG) ที่โรงแรมแกรนด์ไฮแอทเอราวัณ เมื่อวันที่ 5มิ.ย.68
โดยช่วงบ่ายเป็นเวทีเสวนาได้นำเสนอมุมมอง ประเด็นซักถามข้อสงสัยที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ที่ถูกนำเสนอในประเทศไทย โดยมีสมาชิกในวงเสวนารวมทั้งผู้บรรยายจากช่วงเช้าของวันจะร่วมกันตอบคำถาม
โดยไฮไลท์อยู่ที่การแสดงความคิดเห็นมุมมองของผู้ประกอบการสถานบันเทิงครบวงจรระดับโลก 3 บริษัท ได้แก่ Wynn Resorts Development , Melco Resorts & Entertainment Limited และ Galaxy Entertainment Group
นายคริสโตเฟอร์ เอ็ม กอร์ดอน ประธาน Wynn Resorts Development กล่าวตอนหนึ่งว่า บริษัทเขาจะมาทำธุรกิจที่ประเทศไทยเมื่อมีกฎระเบียบที่เข้มงวด เพราะต้องการความมั่นใจในการลงทุน เช่น การต่อต้านการฟอกเงิน ส่วนตัวเชื่อว่าไทยจะทำเรื่องนี้เพราะเป็นเงื่อนไขสำคัญ
ประธาน Wynn Resorts เชื่อว่าตัวเลขนักท่องเที่ยวเข้ามาที่เพิ่มขึ้น มีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น หากมีสถานบันเทิงครบวงจร ทั้งมาเล่นกาสิโนและทำกิจกรรมอย่างอื่นด้วย โดยที่ไม่แย่งนักท่องเที่ยวจากธุรกิจอื่นที่มีอยู่แล้ว ส่วนข้อกังวลที่ว่าเมื่อเปิด Entertainment Complex (EC) แล้วธุรกิจเดินในย่านนั้นจะได้รับผลกระทบ เชื่อว่า ร้านอาหารที่อยู่ข้างๆ EC จะได้รับประโยชน์ ธุรกิจเล็ก รถลิมูซีน ก็จะได้รับประโยชน์ด้วย
"ธุรกิจที่อยู่รอบๆ EC ก็จะได้รับประโยชน์เพิ่มขึ้น ทั้งร้านซักผ้า ร้านดอกไม้ เพราะเราจะส่งลูกค้าให้เขา"
คริสโตเฟอร์ สะท้อนมุมมองที่มีต่อปัญหาการพนันและกลัวว่า EC จะแหล่งฟอกเงินว่า ตอนนี้แค่คุณเล่นมือถือก็เล่นการพนันได้แล้ว หากประเทศไทยอยากจะได้สภาพแวดล้อมที่ดีอาจจะต้องมีกรอบโครงสร้าง ข้อกำหนดที่เข้มงวดก็จะช่วยได้
"ผมไม่อยากพูดซ้ำซากในเรื่องนี้ เพราะมันไม่เหมือนในหนังที่คุณเคยดูหรอกนะที่ว่าจะเข้าไปกาสิโนแล้วจะฟอกเงินได้ง่าย เพราะเราสามารถจัดการได้ ถ้าเขาเป็นคนร้ายเขาไม่ไปกาสิโนอยู่แล้ว เพราะถ้าอาชญากรเข้าไปเขาไม่รอดแน่นอน แต่มั่นใจว่าการมี EC เป็นสิ่งที่ได้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่วัดได้"
สำหรับประเด็นที่ถามเรื่องทำเลที่ตั้งของ EC ควรอยู่ในสถานที่แบบไหน คริสโตเฟอร์ อธิบายว่า แต่ละที่ที่เคยทำมีรูปแบบหลากหลายแต่ต้องเข้าถึงได้ง่าย และมีประชาชนคนแถวนั้นมีความเข้าใจ แต่การอยู่ใกล้สนามบินไม่ใช่ปัจจัยแรกของเรา และไม่ใช่ตัวตัดสินชี้ขาดของทำเล
"ผมมองว่าประเทศไทยมีข้อดี เป็นประเทศที่น่าเที่ยว การมีกาสิโนไม่ได้ทำให้เปลี่ยนไป เราสามารถทำเป็นเขตเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ได้ เช่น กรุงเทพ เชียงใหม่ภูเก็ต พัทยา ให้เป็นมากกว่าการเป็นอาคาร ให้มีการเล่นกีฬา การขายอาหาร คนอยากจะไปทุกปี ถ้าทำอะไรแบบนี้ คนอยากไปไทยก็จะมากขึ้น สิ่งที่ไทยจะทำได้ให้แตกต่าง คือ สร้างหลายเขตบันเทิงหลายเขตเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่หลากหลาย เพราะชั้นของคาสิโนที่ไหนก็เหมือนกันทุกที่ แต่ความรู้สึกและบรรยากาศของสถานที่นั้นมากกว่าที่สำคัญ"
นายเจฟฟรีย์ สจ๊วร์ต เดวิส รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ และหัวหน้าฝ่ายการเงิน Melco Resorts & Entertainment Limited กล่าวตอนหนึ่งว่า สำหรับธุรกิจนี้ต้องการให้มีโครงสร้างกำกับดูแลกาสิโนที่เข้มงวด โดยเฉพาะการป้องกันการฟอกเงิน เหมือนกับทุกประเทศที่เราไปลงทุน เราสนับสนุนมาตรการการฟอกเงินเพราะเป็นผลดีกับบริษัทเราและลูกค้าของเรา ซึ่งเราพร้อมแบ่งปันประสบการณ์ การแก้ปัญหาด้านสังคม เราสนับสนันการป้องกันคุ้มครอง
เจฟฟรีย์ สะท้อนความกังวลถึงอัตราภาษีว่า ภาษีก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อการลงทุน ซึ่งประเทศไทยจะต้องพิจารณา ยกตัวอย่างมาเก๊าเก็บ 40% เพราะเป็นสิ่งที่เราคำนึง เป็นสิ่งที่ต้องแข่งขัน
"คิดว่าอัตราภาษีจะส่งเสริมให้มีการลงทุนหรือไม่เป็นปัจจัยสำคัญพร้อมหรือไม่พร้อมลงทุน เป็นตัวที่จะต้องพิจารณาอย่างจริงจัง ที่ต้องสร้างสมดุลในการดึงนักลงทุนด้วย"
สำหรับข้อกังวลว่าจะมีการฟอกเงินในกาสิโน เจฟฟรีย์ อธิบายว่า ถ้าคุณเป็นคนฟอกเงินคุณคงไม่กล้าโผล่หน้าเข้ามาในนี้แน่นอน เพราะทั้งการตรวจสอบ เทคโนโลยี จับตากิจกรรมที่น่าสงสัย "เป็นนรกของคนที่คิดจะทำผิดกฎหมาย" แต่ถ้าไม่มีการกำกับดูแลให้ดีจะเกิดกิจกรรมพวกนี้แน่นอน
เราใช้เทคโนโลยีในการตรวจสอบคนที่เข้ามาใช้บริการทำให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ เช่น ระบบ KYC ทำระบบดาต้าเบสต่างๆ ดูการจับตาอย่างใกล้ชิด ดังนั้นเทคโนโลยีมีส่วนสำคัญในการสนับสนุนการตรวจสอบได้ง่ายขึ้น รวมทั้งใช้ AI กล้อง AI เพื่อทำให้การตรวจสอบเข้มข้นมากขึ้น
"การใช้เทคโนโลยี การฝึกอบรมพนักงาน เราทำภายใต้บริบทของภาครัฐในการบังคับใช้กฎหมาย ข้อห่วงกังวลทางสังคมพวกนี้โอเปเรอเตอร์ให้ความสำคัญอย่างมากในการทำงานของเรา แต่ยืนยันว่าเรามีนโยบายและเทคโนโลยีที่รองรับด้วย เพราะเรากำลังจะลงเงินด้วยเงินหลายพันล้านดอลลาร์"
ส่วน นายเควิน เคลย์ตัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายแบรนด์ (ประเทศไทย) Galaxy Entertainment Group กล่าวตอนหนึ่งว่า สิ่งที่ได้จาก EC แน่นอนคือการท่องเที่ยวที่เติบโตขึ้นของประเทศไทย การนำเงินเข้ามาลงทุนจำนวนมากจากนักธุรกิจนักลงทุนที่จะเดินทางเข้ามาลงทุน
"ไม่ใช่แค่การเพิ่มปริมาณนักท่องเที่ยวเท่านั้น แต่เป็นการนำท่องเที่ยวที่มีคุณภาพสูงเข้ามา มีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น เพราะเราไม่ได้ดูแค่ปริมาณแต่เราดูเรื่องของคุณภาพและมีค่านิยมที่ถูกต้องด้วย คือต้องการให้เขาใช้เวลาอยู่ในประเทศนานขึ้นด้วยนั่นคือเป้าหมายของสถานบันเทิงครบวงจร"
เควิน เคลย์ตัน กล่าวถึงรัฐบาลไทยด้วยว่า ไม่แปลกใจที่รัฐบาลไทยยังไม่รายละเอียดต่างๆมากนัก แต่เสนอว่าควรนำเอากลุ่มผู้เกี่ยวข้อง ทั้งคนที่สนับสนุน ต่อต้าน ผู้เชี่ยวชาญ หรือผู้ประกอบการมารวมกันและร่วมกันกำหนดรายละเอียด แต่ละข้อต้องวิจัย หาข้อมูลเพื่อนำมาเสนอ แต่ไม่ควรมาโจมตีรัฐบาลไทยในตอนนี้ ส่วนฝ่ายค้านก็ทำหน้าที่ฝ่ายค้านของเขา
"หากมีช่วงเวลาในการพิจารณา ร่างพ.ร.บ.อาจจะใช้เวลา 18 เดือน ถึง 3 ปี ที่จะต้องเตรียมการ เพราะเรื่องกฎหมายมีรายละเอียด แต่ตอนนี้เรายังไม่ได้ขั้นแรกเลยด้วยซ้ำเพราะกฎหมายยังไม่พิจารณา แต่คิดว่าควรมีความเห็นพ้องกันในหลักการว่า EC มีประโยชน์หรือไม่ เพราะฝ่ายที่พร้อมลงทุนในหลายๆพันล้านเหรียญเขาจะได้ทราบ แต่ตอนนี้เรายังไม่อยู่ขั้นแรกเลยด้วยซ้ำ"
เควิน เคลย์ตัน อธิบายถึงการตัดสินใจจะเข้ามาลงทุนด้วยว่า เราดูว่ามีมาตรการอะไรบ้างไหม คนพอใจหรือไม่พอใจ เพราะทุกอย่างจะมีผลกับแบรนด์ของเราและทุกแบรนด์ก็เช่นกันเพราะเราดูข้อมูล ที่ต้องสืบค้นข้อมูล ทำวิจัยว่าเขาพอใจแบรนด์เราหรือไม่ ดังนั้นความสำเร็จในอุตสาหกรรมของเราจึงเปลี่ยนไปตลอดเวลา จึงไม่ใช่แค่การลงทุน 5-8 พันล้านเหรียญแล้วก็จบไปเหมือนในสิงคโปร์ เพราะเราจะต้องลงทุนอยู่ตลอดเวลาในการทำสิ่งใหม่ๆ และต้องตรวจสอบตลาดตลอดเวลา
"เสนอว่า ทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ก็ต้องทำข้อมูลและติดตามเรื่องนี้คู่ขนานด้วยเช่นกันว่า เมื่อมี EC แล้วคนจะเข้ามาเพิ่มมากขึ้นจริงหรือไม่"
ส่วนประเด็นที่ว่า EC ในไทยจะต้องมีกี่ใบอนุญาต เควิน เคลย์ตัน ตอบว่า จะมีกี่ใบอนุญาตไม่สำคัญเท่ากับว่าเมื่อมีแล้วจะแก้ปัญหาอะไรให้กับไทยได้บ้าง เพราะยืนยันว่าเมื่อมีแล้วสิ่งเหล่านี้จะดึงดูดลูกค้าระดับสูงเข้ามา และส่วนตัวยังไม่เห็นหลักฐานที่ยืนยันได้ว่าการมี EC ในแต่ละประเทศ ทั้งเกาหลีใต้ สิงคโปร์ เวียดนาม จะไปลดทอนความน่าสนใจของสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ แต่กลับจะส่งเสริมให้คนไปเที่ยวในบริเวณนั้นมากขึ้น คิดว่าเป็นมูลค่าเพิ่มในการใช้จ่ายเงินมากขึ้นด้วย
ส่วนการป้องกันการฟอกเงิน เควิน อธิบายว่า บริษัทเขามีการตรวจสอบอย่างเข้มงวดอยู่แล้ว และเกิดขึ้นในรัฐบาลของทุกประเทศที่เข้าไปลงทุน รวมทั้งตรวจสอบร่วมกับสถาบันการเงินด้วย
เควิน ยกตัวอย่างประเทศญี่ปุ่นว่า เราอยู่สถานการณ์คล้ายญี่ปุ่น เพราะเราคุยกันเยอะแยะมากมาย แต่โอกาสก็ผ่านไปและโอกาสก็ผ่านหน้าเราไปเลย หากประเทศไทยที่ต้องการเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวเป็น 50 ล้านคน ก็ต้องมีสถานที่ท่องเที่ยวอย่าง EC ที่ดึงดูดใจได้ด้วย
"ไทยมีจุดเด่นคือเรื่องคน เราคิดถึงประเทศไทยเพราะคนไทยมีใจบริการ คนไทยมีจิตใจที่ดี เราสามารถสร้างเป็นตึกเป็นอาคารได้ แต่เราไม่สามารถสร้างคนที่มีไมตรีแบบคนไทยได้ เรายืนยันว่าเราจะไม่เข้ามาเปลี่ยนประวัติศาสตร์วัฒนธรรมของไทย แต่เราต้องการทำให้มันโดดเด่นขึ้น ให้เป็นประเทศไทยยุคใหม่ เป็นการท่องเที่ยวแบบลักชั่วรี่ การท่องเที่ยวแสวงหาความหรูหรา เราจะเชิดชูความหรูหราของไทย"