อินไซด์ กมธ.สถานบันเทิงครบวงจร "แก้วสรร" รอถาม "จุลพันธ์" 5 มิ.ย.นี้

คณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาสถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) วุฒิสภา เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบถึงการเชิญบุคคลสำคัญเข้าร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองเชิงนโยบาย โดยกำหนดให้มีการประชุมในวันที่ 5 มิถุนายน 2568 คือ เชิญนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เข้าร่วมประชุมเพื่อหารือแนวทางพัฒนาโครงการสถานบันเทิงครบวงจรให้สอดคล้องกับผลประโยชน์ของประเทศ

 

 

นายแก้วสรร อติโพธิ กรรมาธิการ ได้แจ้งขอให้กรรมาธิการและอนุกรรมาธิการเตรียมสอบถามข้อสงสัยจากนายจุลพันธ์ ในวันที่ 5 มิ.ย. เพื่อเป็นข้อมูลในการศึกษา พร้อมกับกล่าวแสดงความกังวลเกี่ยวกับประเด็นการจัดเก็บรายได้ของรัฐจากโครงการดังกล่าว โดยเฉพาะการบริหารจัดการค่าเช่าที่ดินของการท่าเรือ ซึ่งเป็นทรัพย์สินของรัฐที่ภาคเอกชนจะเข้ามาร่วมลงทุน

ประเด็นค่าเช่าที่ดินการท่าเรือ

 

"ที่เราจะเอาที่การท่าเรือ การท่าเรือจะได้ค่าเช่าหรือไม่ ได้ในอัตราที่คิดเหมาะสมหรือเปล่า ตามที่กฎหมายภาคเอกชนร่วมทุนเคยกำหนด ประเด็นนี้ต้องเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องถามรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังที่จะมา" นายแก้วสรร กล่าวเน้นย้ำความสำคัญของประเด็นนี้ความซับซ้อนของระบบภาษี

 

 

นายแก้วสรร ยังได้กล่าวถึงความกังวลเกี่ยวกับความซับซ้อนของกฎหมายฉบับนี้ โดยเฉพาะเรื่องอำนาจของกรรมการนโยบายในการเสนออัตราภาษีกาสิโน ซึ่งยังไม่มีความชัดเจน

"ในส่วนของภาษี ถ้าดูในร่างกฎหมาย มีอำนาจกรรมการนโยบายให้เสนออัตราภาษีกาสิโน ผมก็ปวดหัวกับอำนาจการกำหนดอัตราภาษีกาสิโน มันเป็นเหมือนคิดแบบภาษีสรรพสามิตหรือไง ขายเหล้าขายบุหรี่ แต่เราก็มีค่าธรรมเนียม ทั้งที่เรามีเงินได้ต่างหาก และการคำนวณรายได้ของรัฐจากโครงการนี้มีความซับซ้อน เนื่องจากมีหลายรายการ ทั้งภาษี ค่าธรรมเนียม และค่าเช่า ซึ่งต้องมีการศึกษาและเปรียบเทียบกับประเทศอื่นเพื่อให้เกิดความชัดเจน"

 

นายแก้วสรร ย้ำว่า เงินได้ของรัฐทั้งหมดจากสถานบันเทิงครบวงจรเราต้องเห็นภาพและคิดว่าเล่มรายงานผลการศึกษาของกรรมาธิการชุดนี้ ต้องทำให้เพื่อน สว. เขาได้เห็น แล้วนำไปเปรียบเทียบกับที่อื่นได้ เขาจะได้รู้ว่ามันโง่หรือฉลาด

 

 

นายคำนูณ สิทธิสมาน กรรมาธิการ แสดงความเห็นว่า กรรมาธิการควรมีข้อมูลเชิงประจักษ์และตัวเลขที่ชัดเจนเป็นหลักฐานประกอบการพิจารณา ไม่ใช่เพียงอภิปรายตามความรู้สึกส่วนตัวเท่านั้น โดยเทียบจากข้อมูลในระดับสากลว่า รายได้จากกาสิโนแท้ ๆ ในโครงการ Entertainment Complex หรือ Integrated Resort มักมีสัดส่วนสูงถึง 50-70% ของรายได้ทั้งหมด แม้ว่าพื้นที่กาสิโนจะมีเพียงราว 10% เท่านั้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า การลงทุนส่วนใหญ่ในโครงการนี้มาจากกลุ่มทุนกาสิโน ไม่ใช่ทุนโรงแรมหรือธุรกิจอื่น ๆ

 

"ควรมีตัวเลขมาตรฐานที่ชัดเจน เพื่อแยกแยะว่าโครงการนี้เป็นเพียง Entertainment Complex หรือเป็นกาสิโนที่มีสถานบันเทิงเสริมเท่านั้น รวมถึงควรมีข้อมูลเปรียบเทียบเกี่ยวกับสัดส่วนผู้เล่นท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวต่างชาติในแต่ละประเทศ เพื่อใช้ตอบโต้และตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่รัฐบาลนำเสนอ" นายคำนูณ กล่าว

 

ดร.ประทุม วงศ์สวัสดิ์ วุฒิสภา ในฐานะอนุกรรมาธิการ แสดงความคิดเห็นในที่ประชุมโดยเสนอให้แยกการศึกษาเรื่อง Entertainment Complex กับพนันออนไลน์ออกจากกัน เพื่อความชัดเจนและไม่ให้เกิดความสับสน

 

"ความเข้าใจของดิฉัน Entertainment Complex กับกาสิโนออนไลน์ น่าจะแยกศึกษากัน เพราะว่าถ้าจะเอามารวมด้วยกัน มันจะสับสนเล็กน้อย เพราะตัวดินฉันมีลักษณะการสนับสนุนที่บวกต่อการมี Entertainment Complex แต่ก็อยากศึกษาความเห็นจากฝ่ายที่คิดต่างเพื่อความชัดเจนเปรียบเทียบกับต่างประเทศ" ดร.ประทุม กล่าว

 

 

ดร.ประทุม กล่าวด้วยว่า อยากให้อธิบายความแตกต่างระหว่างกาสิโนกับ Entertainment Complex ว่า กาสิโนที่กำลังศึกษาคือกาสิโนที่ไม่ใช่บ่อนตามหัวมุม ไม่ใช่ตามตึกแถวหรือหัวมุมถนนที่เรากำลังจะสร้าง และต้องเปรียบเทียบกับแบบอย่างระดับโลกอย่าง Marina Bay ที่สิงคโปร์ มาเก๊า และลาสเวกัส

 

ดร.ประทุม ชี้ให้เห็นถึงปัญหาพนันที่มีอยู่แล้วในปัจจุบัน บ้านเมืองเราทุกวันนี้ก็ป่วนเต็มบ้านเต็มเมืองเลยทีเดียว พนันเต็มบ้านเต็มเมือง พนันออนไลน์อะไรต่างๆ รวมถึงปัญหาการฟอกเงินที่เกิดขึ้นแม้ไม่มีกาสิโนถูกกฎหมาย ซึ่งน่าสนใจว่าทุกวันนี้เขาไปฟอกกันที่ไหน ทั้งๆ ที่เราไม่มีกาสิโน เราไม่มี Entertainment Complex แล้วเขาไปฟอกกันที่ไหน แล้วเขาไปเล่นกันที่ไหน บ่อนเต็มบ้านเต็มเมืองทุกวันนี้ แม้กระทั่งข้างบ้านดิฉันก็ยังมี

 

ดร.ประทุม เสนอแนวคิดสำคัญว่า "ในเมื่อเราทราบปัญหาอยู่แล้ว ทำไมเราไม่หาวิธีควบคุมก่อนเปิด ไม่ใช่เปิดแล้วมาควบคุม"

 

ด้าน นางเอมอร ศรีกงพาน สมาชิกวุฒิสภา แสดงความห่วงใยถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อสังคมไทยในมิติหลายด้าน ทั้งปัญหาสังคม สุขภาพจิต และปัญหาครอบครัวที่เกิดจากการนำกาสิโนเข้ามา ทั้งนี้วัตถุประสงค์ของร่างกฎหมายดังกล่าวคือเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ และกระตุ้นการลงทุนโดยการพัฒนาสถานที่ท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างขึ้น รวมถึงกาสิโนที่อาจช่วยสร้างรายได้และการจ้างงาน

 

"แต่เห็นว่าไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการเปิดกาสิโน เพราะประเทศไทยมีศักยภาพด้านการท่องเที่ยวสูง ทั้งความงดงามของธรรมชาติ วัฒนธรรม และแหล่งท่องเที่ยวที่มีอยู่แล้ว ปัญหาที่แท้จริงซึ่งกระทบต่อการท่องเที่ยว เช่น ปัญหาที่พัก อาหาร การเดินทาง การจำหน่ายของที่ระลึก รวมถึงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของนักท่องเที่ยว และการที่ประเทศไทยพึ่งพานักท่องเที่ยวจีนมากเกินไป จนเกิดความไม่ปลอดภัยและส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวจีนลดลงถึง 50%"

 

นางเอมอร เสนอให้เปลี่ยนแนวทางไปสู่การส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ปลอดภัยและเหมาะสมมากขึ้น โดยเชิญชวนนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อจากยุโรป อินเดีย และกลุ่มนักท่องเที่ยวประเภทเดินทางคนเดียว (SIT หรือ Free Individual Travelers) แทนการพึ่งพากาสิโนและสถานบันเทิงครบวงจร ซึ่งอาจก่อให้เกิดอบายมุขตามหลักพระพุทธศาสนาและขัดแย้งกับหลักศาสนาต่าง ๆ ที่ไม่ยอมรับการตั้งกาสิโนในประเทศ

 

"การอนุญาตให้ตั้งกาสิโนในประเทศไทยอาจนำไปสู่ผลกระทบทางสังคมในระยะยาว จึงเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนและพิจารณาเรื่องนี้อย่างรอบคอบ เพื่อปกป้องสังคมไทยจากความเสียหายที่จะเกิดขึ้น" นางเอมอร กล่าว