"คมนาคม" ขีดเส้น 28 พ.ค. ทุกหน่วยงาน เสนองบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.5 แสนล้าน

27 พ.ค. 2568 | 03:44 น.
อัปเดตล่าสุด :27 พ.ค. 2568 | 04:09 น.

"คมนาคม" สั่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช็กลิสต์สารพัดโปรเจ็กต์ กระตุ้นเศรษฐกิจ 1.5 แสนล้าน นัดส่งการบ้าน 28 พ.ค. นี้

KEY

POINTS

  • "คมนาคม" สั่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช็กลิสต์สารพัดโปรเจ็กต์ กระตุ้นเศรษฐกิจ 1.5 แสนล้าน นัดส่งการบ้าน 28 พ.ค. นี้
  • ทางหลวงนำโด่ง ของบ 1หมื่นล้าน
  • ฟากรฟท.ลุยของบ 123 โครงการ แตะ 2.7 พันล้านบาท

ที่ผ่านมารัฐบาลได้ตัดสินใจชะลอการดำเนินโครงการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท (Digital Wallet) ในเฟสที่ 3 และ 4 ออกไป โดยได้มีการโยกงบประมาณส่วนหนึ่งที่เคยจะใช้ในโครงการดังกล่าว ซึ่งมีมูลค่ารวมกว่า 1.57 แสนล้านบาท มาใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการลงทุนอื่นๆ แทน โดยเฉพาะในภาคการคมนาคมและโครงสร้างพื้นฐาน

ทั้งนี้สาเหตุของการชะลอและโยกงบ เนื่องจากรัฐบาลมองว่าเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันมีปัจจัยภายนอกและภายในที่ส่งผลกระทบ เช่น ผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ (ภาษีทรัมป์) และความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ทำให้จำเป็นต้องปรับแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เหมาะสมกับสถานการณ์

สำหรับงบประมาณจำนวน 1.57 แสนล้านบาท จะถูกกระจายไปยัง 4 โครงการใหญ่ ซึ่งครอบคลุมทั้งการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานน้ำ-คมนาคม-การท่องเที่ยว และการส่งออก รวมถึงการปั้นเศรษฐกิจชุมชน โดยภาคคมนาคมได้รับความสำคัญอย่างมากในการจัดสรรงบประมาณส่วนนี้

ซึ่งมีโครงการที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์ เช่น โครงการขยายถนนและบำรุงรักษาทางของกรมทางหลวง (ทล.) และกรมทางหลวงชนบท (ทช.) ที่จะเสนอโครงการเกี่ยวข้องกับการขยายเส้นทางคมนาคม ปรับปรุงถนนต่างๆให้ได้มาตรฐาน

นอกจากนี้รวมถึงการบำรุงรักษาโครงข่ายถนนที่มีอยู่เดิม รวมถึงแก้ไขปัญหาจุดตัดระหว่างทางรถไฟและถนนเสมอระดับ ถือเป็นการลงทุนเพื่อเพิ่มความปลอดภัยและลดปัญหาการจราจรติดขัดบริเวณจุดตัดทางรถไฟ ที่มีความสำคัญต่อการขนส่งสินค้าและการเดินทาง

ล่าสุดนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า กรณีที่ภาครัฐชะลอเงินดิจิทัล 10,000 บาท เพื่อกระตุ้นโครงการลงทุนในกระทรวงคมนาคมนั้น เบื้องต้นได้สั่งการให้กรมทางหลวง (ทล.) และกรมทางหลวงชนบท (ทช.) และหน่วยงานอื่นๆที่เกี่ยวข้อง

ทั้งนี้ได้สั่งการให้ทล.และทช. เช็กความพร้อมโครงการต่างๆ เนื่องจากกรมฯมีทั้งโครงการขยายถนนและโครงการใหม่ หรือโครงการอื่น ๆ ที่มีความพร้อมในการดำเนินการ ซึ่งเป็นโครงการที่ถูกตัดงบประมาณปี 2568และงบประมาณปี 2569

“ปัจจุบันได้กำหนดให้ทั้ง 2 หน่วยงาน รายงานกลับมาที่กระทรวงภายในวันที่ 28 พ.ค.นี้ จากนั้นจะส่งให้คณะกรรมการฯที่เกี่ยวข้องพิจารณาต่อไป โดยทราบว่ากรอบวงเงินรวมประมาณ 1.57 แสนล้านบาท ครอบคลุมโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำ คมนาคม การท่องเที่ยว และเกษตร” นายสุริยะ กล่าว

แหล่งข่าวจากกรมทางหลวง (ทล.) กล่าวว่า ขณะนี้เพิ่งได้รับทราบข้อมูลไม่นาน ซึ่งกรมฯมีหลายโครงการที่สามารถดำเนินการได้ เช่น โครงการขยายถนน โครงการบำรุงทาง

ทั้งนี้จะต้องดูรายละเอียดหลักเกณฑ์ของกรอบวงเงินดังกล่าวที่จะนำมาใช้ก่อนว่ามีโครงการใดเข้าข่ายบ้าง อย่างไรก็ดีในปัจจุบันกรมทางหลวงอยู่ระหว่างรวบรวมรายละเอียดแต่ละโครงการและงบประมาณเพื่อเสนอต่อกระทรวงคมนาคม

ตามแผนกำหนดให้กรมส่งรายละเอียดเพิ่มเติมภายในวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 พิจารณา คาดว่าจากการรวบรวมข้อมูลเบื้องต้นจะขอรับจัดสรรงบประมาณกว่า 10,000 ล้านบาท ราว 100 โครงการ

ซึ่งตามขั้นตอนจะต้องเสนอต่อกระทรวงคมนาคมพิจารณาก่อนหลังจากนั้นจะเข้าสู่ขั้นตอนคณะกรรมการพิจารณาดำเนินโครงการต่อไป

แหล่งข่าวจากการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กล่าวว่า ปัจจุบันรฟท.ได้ส่งข้อมูลรายละเอียดโครงการต่างๆและงบประมาณต่อกระทรวงคมนาคมแล้วเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคมที่ผ่านมา

เบื้องต้น รฟท.ขอรับจัดสรรงบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.5 แสนล้านบาท วงเงิน 2,720 ล้านบาท จำนวน 123 โครงการ เช่น โครงการก่อสร้างและปรับปรุงลานเก็บกองตู้คอนเทนเนอร์ จังหวัดระยองและจังหวัดราชบุรี วงเงิน 104 ล้านบาท

โครงการปรับปรุงรั้ว 2 ข้างทางรถไฟ วงเงิน 24 ล้านบาท โครงการปรับปรุงสถานีรถไฟ วงเงิน 29 ล้านบาท โครงการแก้ไขผลกระทบจากเหตุอุทกภัยและภัยพิบัติวงเงิน 343 ล้านบาท โครงการซ่อมปรับปรุงอุปกรณ์ระบบอาณัติสัญญาณและโทรคมนาคม วงเงิน 1,217 ล้านบาท งานศึกษาความเหมาะสมโครงการก่อสร้างทางรถไฟสายแพร่-น่าน จังหวัดน่าน ระยะทาง 253 กิโลเมตร (กม.) วงเงิน 65 ล้านบาท ฯลฯ

แหล่งข่าวจากการไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กล่าวว่า ขณะนี้ รฟม.ยังไม่ทราบข้อมูลแต่เบื้องต้นหากรฟม.จะต้องขอรับจัดสรรงบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ คาดว่าจะนำงบประมาณมาดำเนิน ประมาณ 3 โครงการ ดังนี้

1.ค่าชดเชยรายได้ให้กับเอกชนผู้รับสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน,รถไฟฟ้าสายสีชมพูและ รถไฟฟ้าสายสีเหลือง วงเงิน 100 ล้านบาท เนื่องจากเป็นมาตรการของภาครัฐที่มอบหมายให้ทางกระทรวงคมนาคมเปิดให้บริการรถไฟฟ้าฟรี 7 วันเพื่อแก้ปัญหาฝุ่นพิษ PM 2.5

2.ค่าจัดกรรมสิทธิ์เวนคืนที่ดินในโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตก ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) บางส่วน ตามแผนทั้งโครงการจะใช้งบประมาณค่าเวนคืนที่ดิน 14,661 ล้านบาท

3.ค่าจัดกรรมสิทธิ์เวนคืนที่ดินในโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ช่วงเตาปูน- ราษฎร์บูรณะ ตามแผนทั้งโครงการจะใช้งบประมาณค่าเวนคืนที่ดิน 15,913 ล้านบาท