“กทม.” ลุยปิด “หนี้สายสีเขียว” 3 หมื่นล้าน รับรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย

08 พ.ค. 2568 | 23:00 น.

“กทม.” ซุ่มส่งหนังสือ “บีทีเอส” วอนลดดอกเบี้ย ล้าง “หนี้สายสีเขียว” 3 หมื่นล้านบาท เดินหน้าถกกรมรางชดเชยรายได้ รับนโยบาย 20 บาทตลอดสาย

KEY

POINTS

  • “กทม.” ซุ่มส่งหนังสือ “บีทีเอส” วอนลดดอกเบี้ย ล้าง “หนี้สายสีเขียว” 3 หมื่นล้านบาท
  • เร่งจัดเก็บภาษีที่ดิน หวังปั๊มรายได้จ่ายหนี้เอกชน
  • เดินหน้าถกกรมรางชดเชยรายได้ รับนโยบาย 20 บาทตลอดสาย

กรุงเทพมหานคร ประกาศชำระหนี้ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุง (O&M) รถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อ ขยาย 1 และ 2 ให้กับบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือบีทีเอสซี ขณะเดียวกัน ภาระดอกเบี้ยที่เดินอยู่ตลอดเวลา ยังคงเป็นปัญหาที่ทั้งสองฝ่ายต้องเจรจา

นายวิศณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่าวว่า กทม. อยู่ระหว่างเจรจาปัญหาหนี้ค้างชำระกับผู้ประกอบการรถไฟฟ้าสายสีเขียว โดยให้เคทีเป็นผู้รับสัญญาในการเจรจานี้ ระหว่างที่ยังไม่ได้มีการชำระหนี้พบว่าดอกเบี้ยยังคงเดินอยู่เรื่อยๆ

ขณะเดียวกันกทม. ได้ทำหนังสือสอบถามความคิดเห็นไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น อัยการสูงสุด และ ปปช. เกี่ยวกับประเด็นทางกฎหมายในการชำระหนี้ว่าสามารถชำระหนี้ในส่วนที่ยังไม่ได้มีการฟ้องร้องได้หรือไม่ เนื่องจากหนี้ส่วนนี้มีดอกเบี้ยเดินอยู่เช่นกัน รวมถึงการสอบถามถึงประเด็นที่ค้างอยู่ในศาลปกครองที่ยังไม่ได้ตัดสินว่าสามารถชำระได้หรือไม่

นายวิศณุ กล่าวต่อว่า ด้านสถานะทางการเงินของ กทม. ในการชำระหนี้รถไฟฟ้าสายสีเขียว ขณะนี้กทม.อยู่ระหว่างพิจารณาเรื่องการเงิน คาดว่าเงินสะสมน่าจะเพียงพอ

ทั้งนี้ในปัจจุบันการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างยังไม่ครบถ้วน ซึ่งภาษีนี้เป็นตัวสำคัญการจัดเก็บรายได้ของปีนี้ว่าจะเป็นไปตามเป้าหมายหรือไม่

ส่วนระบบตั๋วร่วมและ EMVเกี่ยวกับระบบการชำระเงิน เช่น การติดตั้งระบบ EMV คงต้องรอการตัดสินใจเชิงนโยบายจากรัฐบาล

ปัจจุบันรถไฟฟ้าสายสีเขียวยังไม่ได้มีการติดตั้งระบบ EMV ซึ่งในอนาคตหากเป็นระบบตั๋วร่วม อาจจะไม่ใช้แค่ บัตร EMV แต่อาจรวมถึงบัตรแรบบิทด้วย ซึ่ง กทม.ไม่ได้ขัดข้องในเรื่องนี้

“ขณะที่การแก้ไขสัญญาสัมปทาน มองว่าการชดเชยรายได้จากการปรับลดค่าโดยสาร ไม่จำเป็นต้องแก้ไขสัญญาสัมปทาน แต่แนวทางน่าจะเป็นการที่รัฐบาลเข้ามาชดเชยรายได้ที่หายไปให้กับ กทม.ในส่วนที่ กทม. รับภาระส่วนต่อขยายให้กับผู้รับสัมปทาน ซึ่งส่วนต่อขยาย 1 และ 2 ปัจจุบันกทม.มีการจ้างเดินรถอยู่แล้ว หากมีรายรับหายไป รัฐบาลก็ต้องชดเชยให้ กทม.” นายวิศณุ กล่าว

ทั้งนี้กทม.ต้องหารือกับกรมการขนส่งทางราง (ขร.) ว่ารูปแบบการชดเชยจะเป็นอย่างไร แต่โดยหลักการแล้วคือ การอุดหนุนหรืองบประมาณชดเชย ไม่ได้เป็นการฉีกสัญญา เพราะการแก้ไขสัญญาจะต้องได้รับความยินยอมจากทั้งสองฝ่ายซึ่งความท้าทายของนโยบาย 20 บาทตลอดสาย คือการแบ่งรายได้กัน กรณีจ้างเดินรถจะแบ่งง่าย แต่กรณีรายรับตกกับผู้รับสัมปทานจะยุ่งยากกว่า

อย่างไรก็ดีกทม.ได้ส่งข้อมูลเกี่ยวกับต้นทุน รายรับและรายจ่ายของรถไฟฟ้าสายสีเขียวทั้งส่วนสัมปทานและส่วนต่อขยายให้กับกรมการขนส่งทางราง เพื่อประกอบการพิจารณาเรื่องนโยบายต่างๆ เช่น นโยบายค่าโดยสาร 20 บาท ในส่วนต่อขยายแล้ว

ในปัจจุบัน กทม. มีค่าจ้างเดินรถสำหรับส่วนต่อขยาย 1 และ 2 อยู่ที่ประมาณ 8,000 ล้านบาทต่อปี โดยมีรายรับจากการเก็บค่าโดยสาร 15 บาทในปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 2,000 ล้านบาทต่อปี

ดังนั้น กทม. จึงให้เงินอุดหนุน (จ่ายค่าจ้างเดินรถที่สูงกว่ารายรับ) อยู่ประมาณ 6,000 ล้านบาทต่อปี สำหรับส่วนต่อขยาย 1 และ 2 ตัวเลขนี้เป็นข้อมูลเฉพาะส่วนต่อขยาย ไม่รวมส่วนสัมปทาน

นายวิศณุ กล่าวต่อว่า หากมีการปรับลดค่าโดยสารเป็น 20 บาท ซึ่งอาจจะต่ำกว่ารายรับปัจจุบันในบางการเดินทาง หรือเป็นราคาคงที่ตลอดสาย โดยรายรับจากการเก็บค่าโดยสารในส่วนนี้จะลดลง ส่งผลให้ กทม. ต้องแบกรับภาระการขาดทุนหรือการอุดหนุนที่มากขึ้น

หากไม่มีการชดเชยในส่วนสัมปทาน รายรับจากการเก็บค่าโดยสารจะตกอยู่กับผู้รับสัมปทาน ซึ่งการปรับลดค่าโดยสารเป็น 20 บาทตลอดสาย จะทำให้รายรับของผู้รับสัมปทานในส่วนนี้ลดลง

“หากรัฐบาลมีนโยบายลดค่าโดยสารและมีการชดเชย กทม. เข้าใจว่าจะเป็นการชดเชยเงินที่หายไปให้ กทม. โดยตรง ไม่ใช่การแก้ไขสัญญาจ้างเดินรถ ส่วนสัมปทานเดิม ก็ต้องมีวิธีการชดเชยรายได้ที่หายไปเช่นกัน อาจเป็นการอุดหนุนตามปีงบประมาณ” นายวิศณุ กล่าว

ขณะเดียวกัน กทม. ได้ว่าจ้างที่ปรึกษาตาม พ.ร.บ. การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (PPP) เพื่อพิจารณาเรื่องการบริหารจัดการเมื่อสัญญาสัมปทานสิ้นสุดลง ควรจะพิจารณาในภาพรวม รวมถึงประเด็นคอขวดที่สถานีตากสินด้วย

รายงานข่าวจากบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือบีทีเอสซี กล่าวกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า สำหรับภาระหนี้ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุง โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวนั้น

ขณะนี้กรุงเทพมหานคร (กทม.) ได้ชำระหนี้ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุง (O&M) ให้แก่บริษัทแล้ว ภายหลังศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งให้ชำระเงินแก่บริษัทที่เกิดจากการฟ้องครั้งที่ 1 ส่วนต่อขยาย 1 (เดินรถ พ.ค. 62 - พ.ค. 64) และส่วนต่อขยาย 2 ( เดินรถ เม.ย. 2560 – พ.ค. 2564) จำนวนเงิน 14,476 ล้านบาท

ทั้งนี้ในปัจจุบันกทม.ยังคงเหลือการชำระหนี้ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุง (O&M) เท่านั้น วงเงินประมาณ 30,000 ล้านบาท รวมดอกเบี้ย เพราะหนี้เกิดขึ้นทุกวันจากการเปิดเดินรถ

โดยที่ผ่านมากทม.ได้ชำระหนี้ค่าจ้างติดตั้งงานระบบเดินรถ (ไฟฟ้าและเครื่องกล) (E&M) ส่วนต่อขยาย 2 วงเงิน 23,000 ล้านบาท

“ล่าสุดทางกทม.มีการส่งหนังสือถึงบริษัทขอปรับลดดอกเบี้ยของภาระหนี้ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งทางบริษัทได้ทำหนังสือตอบกลับไปแล้ว แต่ขอไม่เปิดเผยรายละเอียดในเรื่องนี้”รายงานข่าวจากบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือบีทีเอสซี กล่าว

รายงานข่าวจากบีทีเอสซี กล่าวต่อว่า ส่วนบริษัทจะดำเนินการฟ้องร้องถึงภาระหนี้ในปัจจุบันที่กทม.ยังค้างชำระอยู่หรือไม่นั้น

ขณะนี้พบว่าหนี้ที่บริษัทฟ้องร้องครั้งที่ 2 ส่วนต่อขยาย 1 และ 2 (เดินรถ มิ.ย. 2564 – ต.ค. 2565) กทม. ค้างชำระจำนวนเงิน 12,245 ล้านบาท

แต่ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาคดีของศาลปกครอง ซึ่งศาลฯยังไม่ได้มีคำสั่งเพิ่มเติมคงต้องรอดูความชัดเจนการชำระหนี้ของกทม.ก่อน หากกทม.ยังคงชำระหนี้ให้แก่บริษัทเป็นระยะๆ บริษัทคงไม่ดำเนินการฟ้องร้อง

สำหรับภาระหนี้โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ปัจจุบันกทม.ได้ชำระหนี้แก่บีทีเอสซีแล้ว 37,000 ล้านบาท โดยหนี้ค่าจ้างติดตั้งงานระบบเดินรถ (ไฟฟ้าและเครื่องกล) (E&M) ส่วนต่อขยาย 2 จำนวนเงิน 23,000 ล้านบาท

ขณะนี้กทม. ชำระให้บริษัทกรุงเทพธนาคม จำกัด (เคที) แล้ว โดยใช้งบเพิ่มเติมปี 2567 และโอนกรรมสิทธิ์งานระบบเป็นของ กทม. แล้ว

ขณะที่หนี้ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุง (O&M) ส่วนต่อขยายที่ 1 และ 2 แบ่งเป็น 3 ส่วน ประกอบด้วย หนี้ที่เกิดจากบีทีเอสซีฟ้องครั้งที่ 1 ส่วนต่อขยาย 1 (เดินรถ พ.ค. 62 - พ.ค. 64) และส่วนต่อขยาย 2 ( เดินรถ เม.ย. 2560 – พ.ค. 2564) จำนวนเงิน 14,476 ล้านบาท

ปัจจุบันกทม. ได้ชำระให้สำนักงานบังคับคดี สำนักงานศาลปกครองแล้ว เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2567 ตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2567

นอกจากนี้หนี้ที่เกิดจากบีทีเอสซีฟ้องร้องครั้งที่ 2 ส่วนต่อขยาย 1 และ 2 ( เดินรถ มิ.ย. 2564 – ต.ค. 2565) ซึ่งกทม. ค้างชำระจำนวนเงิน 12,245 ล้านบาท ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาคดีของศาลปกครอง และหนี้หลังจากการฟ้องร้องครั้งที่ 2 ประมาณ 25,000 ล้านบาท อยู่ระหว่างการพิจารณาแนวทางการชำระเงิน

“กทม.” ลุยปิด “หนี้สายสีเขียว” 3 หมื่นล้าน  รับรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย

เนื่องจากมีประเด็นของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิด โดยมีการสอบถามไปยัง ป.ป.ช. และอัยการสูงสุดแล้วแต่ยังไม่ได้ข้อสรุป จึงยังไม่สามารถดำเนินการจ่ายเงินได้

เมกะโปรเจ็กต์ หน้า 8 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,095 วันที่ 11 - 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2568