ดร.ณรงค์ชัย ใหญ่สว่าง นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพอินเตอร์ เปิดมุมมองเชิงลึกเกี่ยวกับทำเลยุทธศาสตร์สำหรับโครงการ Entertainment Complex ในประเทศไทยผ่านการให้สัมภาษณ์พิเศษกับ "ฐานเศรษฐกิจ" โดยชี้ว่าทำเลที่ตั้งเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่จะกำหนดความสำเร็จของโครงการ
"การเลือกทำเลที่ตั้งของ Entertainment Complex ที่ประสบความสำเร็จทั่วโลกมีรูปแบบที่ชัดเจน คือต้องอยู่ใกล้สนามบินและเดินทางสะดวก" ดร.ณรงค์ชัยกล่าว พร้อมยกตัวอย่างโมเดลความสำเร็จจากต่างประเทศ
ในสิงคโปร์ Marina Bay Sands ตั้งอยู่ใกล้กับสนามบิน ทำให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาถึงสามารถเข้าถึงได้อย่างสะดวกรวดเร็ว "นักท่องเที่ยวลงเครื่องที่สนามบิน ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองแล้วสามารถเดินทางถึง Marina Bay Sands ได้อย่างรวดเร็ว สามารถช้อปปิ้ง เล่นกาสิโน และทำกิจกรรมต่างๆ ได้ทันที" ดร.ณรงค์ชัยอธิบาย
เช่นเดียวกับในเกาหลีใต้ที่ Paradise City ตั้งอยู่ติดกับสนามบินอินชอน โดยมีรถรับส่งให้บริการตลอดเวลา "ทุกแห่งทั่วโลกเน้นการเดินทางที่สะดวกจากสนามบินเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นหลัก" นักวิชาการกล่าวเสริม
สำหรับประเทศไทย ดร.ณรงค์ชัย เสนอว่ามีสองพื้นที่เป็นอย่างน้อยที่มีศักยภาพสูงสำหรับการพัฒนาเป็น Entertainment Complex ได้แก่ พื้นที่ย่านคลองเตย และพื้นที่ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ
ดร.ณรงค์ชัยวิเคราะห์ ว่า คลองเตยน่าสนใจเพราะติดแม่น้ำเจ้าพระยา หากมีการพัฒนาจะทำให้มูลค่าที่ดินในพื้นที่เพิ่มสูงขึ้นได้มาก ปัจจุบันราคาที่ดินในพื้นที่คลองเตยอยู่ที่ประมาณ 4 ล้านบาทต่อไร่ แต่หากมี Entertainment Complex เข้ามา ราคาอาจเพิ่มขึ้นถึง 30-40 ล้านบาทต่อไร่ หรือเพิ่มขึ้นกว่า 10 เท่า
ส่วนพื้นที่ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิก็มีศักยภาพไม่แพ้กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของการเข้าถึงจากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางทางอากาศ
"สิ่งสำคัญที่สุดคือความสะดวกในการเข้าถึง ไม่ว่าจะเป็นคลองเตยหรือสุวรรณภูมิ ต้องดูว่าการมาใช้บริการสะดวกแค่ไหน เพราะทำเลที่เหมาะสมต้องมีการเชื่อมต่อการเดินทางหลายรูปแบบ โดยเฉพาะในประเทศไทยที่มีปัญหาการจราจรติดขัด รัฐบาลต้องสนับสนุนระบบขนส่งทุกรูปแบบ ทั้งทางบก รถไฟฟ้า และทางน้ำ หากเลือกพื้นที่คลองเตยที่ติดแม่น้ำ อาจมีการพัฒนาการเดินทางทางน้ำเพิ่มขึ้น คล้ายกับไอคอนสยามที่มีการเข้าถึงได้ทั้งทางบก ทางราง และทางน้ำ"
นักวิชาการรายนี้ยังเสริมว่า การมีระบบขนส่งที่หลากหลายจะช่วยลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว และส่งเสริมให้ผู้ใช้บริการหันมาใช้ระบบขนส่งสาธารณะมากขึ้นรัฐบาลต้องผลักดันให้บริการสาธารณะต้องมีคุณภาพดีด้วยเช่นกัน
ในขณะเดียวกัน ดร.ณรงค์ชัย ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดการตั้ง Entertainment Complex ในพื้นที่ชนบทหรือห่างไกล แม้จะมีข้อเสนอว่าจะช่วยกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น เพราะเท่ากับว่ารัฐบาลต้องลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มเติมอีก
"ถ้าเราพูดถึงการสนับสนุนนักท่องเที่ยวต่างชาติ การเดินทางต้องสะดวกจากสนามบิน ถ้าห่างไกลจากกรุงเทพฯ 2-3 ชั่วโมง การเดินทางของนักท่องเที่ยวต่างชาติจะไม่สะดวก ต้องเสียเวลาทั้งขาไปและขากลับ ทำให้ไม่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้เท่าที่ควร"
นอกจากนี้ หากตั้งในพื้นที่ห่างไกล อาจกลายเป็นว่ามีแต่คนไทยไปใช้บริการ ซึ่งไม่ตรงกับวัตถุประสงค์หลักของโครงการที่ต้องการดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติกระเป๋าหนัก
อย่างไรก็ตาม นักวิชาการรายนี้ไม่ได้ปิดกั้นความเป็นไปได้ในการพัฒนา Entertainment Complex ในเมืองรอง ว่า เราอาจพิจารณาเมืองรองที่มีศักยภาพ เช่น เชียงใหม่หรือภูเก็ต พร้อมยกตัวอย่างประเทศญี่ปุ่นที่ไม่ได้เปิด Entertainment Complex แค่ในโตเกียว แต่ยังมีในโอซาก้าซึ่งถือเป็นเมืองรองด้วย
"การพิจารณาทำเลที่ตั้งอย่างรอบคอบจะช่วยให้ประเทศไทยสามารถพัฒนา Entertainment Complex ที่ประสบความสำเร็จ และดึงดูดนักท่องเที่ยวกระเป๋าหนักเข้ามาสร้างรายได้ให้กับประเทศ" ดร.ณรงค์ชัยกล่าวทิ้งท้าย