KEY
POINTS
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าภัยพิบัติเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถคาดเหตุการณ์ล่วงหน้าได้ โดยเฉพาะการเกิด “แผ่นดินไหว” ในประเทศไทย เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ถือเป็นเหตุการณ์ณ์ที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดขึ้นในรอบเกือบ 100 ปี
โดยครั้งนี้เกิดแรงสั่นสะเทือนหลายริกเตอร์ใจกลางกรุงเทพฯและปริมณฑล รวมถึงจังหวัดแถบภาคเหนือและภาคอีสาน ส่งผลกระทบประชาชนต้องอพยพจากที่สูง โดยเฉพาะ คอนโดมิเนียม อาคารสำนักงานต่างๆ
จากเหตุการณ์เหล่านี้ยังพบว่า ปัจจุบันมีอาคารและสำนักงานหลายแห่งได้รับความเสียหายและมีรอยร้าวอย่างมาก สร้างความหวาดกลัวให้กับประชาชนไม่น้อย 1 ในนั้นกลายเป็นกระแสในช่วงนี้ คือ อาคารสำนักงานตึก (สตง.) ถล่มพังทลายลงมาจนทำให้มีผู้สูญหาย บาดเจ็บ จนนำมาสู่การเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก
ทั้งนี้จากการอพยพของประชาชนในขณะที่เกิดเหตุแผ่นดินไหวนั้นจำเป็นต้องพึ่งพาการเดินทางจาก “ระบบขนส่งสาธารณะ” เพื่อไปยังที่พักอาศัยหรือที่ๆปลอดภัยที่สุด แต่กลับพบว่าเหตุการณ์ที่ผ่านมา
ระบบขนส่งสาธารณะอาจไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุด เนื่องจากในช่วงเวลาดังกล่าวไม่ใช่เพียงอาคารตึกสำนักงานต่างๆที่ได้รับผลกระทบหนัก ยังรวมถึงระบบรถไฟฟ้าที่เกิดการสั่นไหวจนประกาศหยุดให้บริการทันทีกว่า 10 ชั่วโมง
ตลอดจนระบบโครงสร้างพื้นฐานบนถนนที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างยังสร้างความไม่มั่นใจและไม่ปลอดภัยแก่ประชาชนกว่าล้านคนที่หมดทางเลือกการเดินทางจากรถไฟฟ้า
ถึงแม้ว่ากระทรวงคมนาคมจะมีการประกาศว่าทางองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพฯ (ขสมก.) และเอกชนผู้รับสัมปทานเดินรถโดยสารประจำทางมีความพร้อมและเพิ่มความถี่ ตลอดจนเพิ่มจำนวนรถที่ให้บริการรถโดยสารประจำทาง แต่ก็พบว่าปริมาณรถโดยสารประจำทางยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน ส่งผลให้การจราจรติดขัดจนเป็นอัมพาตหลายเส้นทางกว่าหลายชั่วโมง
ไม่เพียงเท่านั้นในช่วงเหตุการณ์ที่ประชาชนเดือดร้อนจากสถานการ์แผ่นดินไหวพบว่า แท็กซี่ ซึ่งเป็นระบบขนส่งทางถนนที่ไม่สามารถช่วยบรรเทาความเดือดร้อนจากประชาชนได้เช่นกัน
เนื่องจากมีประชาชาชนบางส่วนที่ต้องการเดินทางส่วนตัวโดยรถแท็กซี่ แต่กลับถูกโก่งราคาเรียกค่าโดยสารแพงในอัตราจ้างเหมาแทนทั้งที่การเดินทางรับ-ส่ง ผู้โดยสารเพียงไม่กี่กิโลเมตร ตลอดจนการเรียกรถจักรยานยนต์และรถรับจ้างอื่นๆผ่านแอปพลิเคชั่นต่างๆกลับขาดแคลน
ซึ่งกรมขนส่งทางบก (ขบ.) หน่วยงานที่ดูแลกลับเมินเฉยไม่สามารถแก้ไขปัญหาเหล่านี้ให้หมดสิ้นได้สักที
จากข้อมูลของทีมวิจัยนโยบายด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ระบุว่า ภัยพิบัติย่อมสร้างความตื่นตระหนกและเร่งให้ประชาชนต้องเคลื่อนย้าย โดยภัยพิบัติบางประเภทสามารถคาดการณ์เวลาและพื้นที่เสี่ยงได้ล่วงหน้า เช่น น้ำท่วม ลมพายุ
นอกจากนี้รัฐสามารถคาดการณ์พื้นที่เสี่ยงและจัดเตรียมพื้นที่ปลอดภัยรับผู้อพยพล่วงหน้าได้ ลักษณะการเดินทางก่อนเกิดเหตุจึงเป็นการเดินทางออกจากพื้นที่เสี่ยงไปยังพื้นที่ปลอดภัย
ซึ่งรัฐต้องสนับสนุนการเคลื่อนย้ายให้เป็นไปอย่างราบรื่นและครอบคลุมให้มากที่สุด ทั้งการจัดการการจราจร การเตรียมเชื้อเพลิงตามจุดที่มีการเดินทาง
ในขณะที่ภัยพิบัติบางประเภท เช่น แผ่นดินไหว ไฟไหม้ เป็นเหตุที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ล่วงหน้า ต้องอาศัยการซักซ้อมเตรียมการและวางแผนรับมือล่วงหน้าตั้งแต่ยังไม่ทราบว่าจะมีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น
ดังนั้นภาครัฐควรมีแนวทางรับมือกับสาธารณภัยในลักษณะนี้ คือ กำหนดแนวทางการสื่อสารอย่างชัดเจน โดยกระทรวงคมนาคมดำเนินการร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
เพื่อสื่อสารกับประชาชนถึงแนวทางการเลือกรูปแบบการเดินทางที่เหมาะสมในช่วงที่เกิดภัยพิบัติ และควรจัดให้ระบบขนส่งสาธารณะมีความพร้อมรองรับประชากรในทันทีหลังส่งข้อความ แต่ต้องไม่เป็นเหตุให้การสื่อสารมีความล่าช้าจากการเตรียมการ
ขณะเดียวกันควรมีแผนการจัดการทางด้านการขนส่งอย่างเป็นระบบ ผ่านการประเมินความต้องการในการใช้บริการ และความสามารถในการรองรับผู้โดยสารของช่องทางการขนส่งสำรองในกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉิน หรือภัยพิบัติ ตลอดจนกำหนดคู่มือ แนวทาง
และวิธีปฏิบัติที่ใช้ดุลยพินิจน้อยที่สุด ในการเลือกปิดหรืองดให้บริการระบบขนส่งรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง ให้สอดคล้องกับระดับความรุนแรงของสาธารณภัยที่เกิดขึ้น
จากเหตุการณ์ในครั้งนี้ แสดงให้เห็นว่าการรับมือภัยพิบัติของไทยแม้ว่ามีแผนการรับมือที่ชัดเจนแล้ว แต่ยังขาดการปรับตัวเพื่อรับมือกับสาธารณภัยรูปแบบใหม่ๆ แม้จะมีการแบ่งหน้าที่หน่วยงานต่างๆ ในการรับมือแล้ว
แต่หน่วยงานที่มีหน้าที่สำคัญในการสื่อสาร ยังขาดความรวดเร็วในการดำเนินงาน ทำให้เกิดความล่าช้าอย่างมาก อีกทั้งการรับมือในบางจุดยังมีลักษณะที่เกินกว่าเหตุ ก่อให้เกิดความไม่สบายใจให้กับประชาชน ยิ่งทำให้สถานการณ์มีแนวโน้มแย่ลงไปอีก
สิ่งหนึ่งภาครัฐกลับละเลยคือ การแจ้งเตือนระบบผ่านข้อความ SMS ในโทรศัพท์มือถือหรือแจ้งข่าวสารผ่านโทรทัศน์หรือสื่อออนไลน์ จนส่งผลกระทบเกิดความเสียหายเป็นวงกว้าง อีกทั้งระบบการแจ้งเตือนกลับมีความล่าช้าอยู่มาก ทำให้ไม่สามารถเตือนประชาชนล่วงหน้าได้ทันท่วงที
หากภาครัฐสามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ เชื่อว่าจะช่วยให้การเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะเป็นทางเลือกสำคัญที่ช่วยให้ประชาชนผ่านพ้นสถานการณ์ฉุกเฉินได้อย่างราบรื่น
วิเคราะห์ หน้า 8 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,087 วันที่ 13 - 16 เมษายน พ.ศ. 2568