แผ่นดินไหวล่าสุดฉุดเศรษฐกิจดิ่ง 3 หมื่นล้าน กดจีดีพี 0.1-0.15%

08 เม.ย. 2568 | 01:06 น.
อัปเดตล่าสุด :08 เม.ย. 2568 | 01:08 น.

ส.อ.ท. คาดแผ่นดินไหวฉุดเศรษฐกิจดิ่ง 3 หมื่นล้านบาท กดจีดีพี 0.1-0.15% กระทบเทศกาลสงกรานต์ แนะผู้ประกอบการทำประกันภัยครอบคลุมภัยพิบัติ

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า เหตุการณ์แผ่นดินไหวในประเทศไทย หลายๆหน่วยงานได้ประเมินว่า จะเกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจ 20,000 – 30,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 0.1 – 0.15% ต่ออัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(จีดีพี) 

และอาจส่งผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยว ที่อาจมีจำนวนนักท่องเที่ยวลดลง ในช่วงใกล้เทศกาลสงกรานต์ เนื่องจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ อาจยังไม่มั่นใจในเรื่องความปลอดภัย และเปลี่ยนแผนการท่องเที่ยว ทำให้ไทยอาจสูญเสียรายได้ จากการท่องเที่ยวในระยะสั้นไป

ขณะที่ผลกระทบต่อโรงงานอุตสาหกรรม ส.อ.ท. ได้มีการติดตามผลกระทบจากเหตุแผ่นดินไหวแล้ว พบว่าในส่วนของอาคารโรงงาน ได้รับผลกระทบค่อนข้างน้อย เนื่องจากอาคารโรงงานส่วนใหญ่ มีโครงสร้างที่ไม่ได้มีความสูงมากนักและส่วนใหญ่เป็นแนวราบ

 รวมถึงมีการตรวจสอบโครงสร้าง อาคารจากกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) และสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด ก่อนที่จะอนุญาตเปิดกิจการ ทำให้มีความปลอดภัยระดับหนึ่ง

“จากเหตุการณ์ครั้งนี้ไทยควรมีการเตรียมการและวางมาตรการป้องกัน ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อรับมือกับแผ่นดินไหวและภัยพิบัติอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นอีกในอนาคต” 

โดยมาตรการที่สำคัญ คือ การพัฒนาระบบเตือนภัยให้รวดเร็วและแม่นยำมากขึ้น เพื่อให้ประชาชนสามารถรับรู้ข้อมูลและเตรียมพร้อมรับมือ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีการพัฒนาเทคโนโลยีด้านการพยากรณ์แผ่นดินไหวและปรับปรุงแผนที่ภัยพิบัติแผ่นดินไหวแบบเรียลไทม์ 

มีการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานและอาคารให้สามารถรองรับแรงสั่นสะเทือนได้ โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยงที่มีรอยเลื่อน ของแผ่นเปลือกโลกพาดผ่าน ซึ่งสามารถทำได้โดยการกำหนดพื้นที่ปลอดภัย สำหรับรองรับผู้ได้รับผลกระทบ และการกระจายศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ ไปยังหลายพื้นที่ เพื่อลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นหากเกิดภัยพิบัติในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง 

“ผู้ประกอบการก็จะต้องมีการปรับตัว โดยการทำประกันภัย ที่ครอบคลุมกรณีภัยพิบัติ มีการซ้อมแผนรับมือเหตุภัยพิบัติให้พนักงานอย่างต่อเนื่อง พัฒนาแผนรับมือในธุรกิจของตนเอง และให้ความสําคัญกับการรักษาความปลอดภัยทั้งระบบ”

นอกจากนี้ สิ่งที่รัฐบาลต้องให้ความสำคัญ หลังจากเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว คือ เร่งสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชนและนักลงทุน โดยดำเนินมาตรการฟื้นฟูที่เป็นรูปธรรม เช่น การซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐาน การตรวจสอบความแข็งแรงของอาคารอย่างเข้มงวดโดยเฉพาะอาคารเก่าและอาคารสูงที่ไม่ได้ออกแบบให้รองรับแรงสั่นสะเทือน มีการประชาสัมพันธ์ข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับมาตรการรับมือภัยพิบัติ 

และสร้างเครือข่ายความร่วมมือระดับภูมิภาคในการรับมือกับภัยธรรมชาติ ตลอดจนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ เช่น การส่งเสริมการท่องเที่ยวและการช่วยเหลือ ผู้ประกอบการหลังได้รับผลกระทบ หากเราสามารถวางแผนรับมือได้อย่างเป็นระบบ มีการนำเทคโนโลยีมาช่วยในการพยากรณ์ และมีเครื่องมือต่างๆ ที่พร้อมกรณีเกิดเหตุ จะช่วยลดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนและภาคธุรกิจ เพื่อให้ประเทศ เดินหน้าต่อไปได้อย่างมั่นคงและปลอดภัย