นายพรชัย จิรกุลไพศาล ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผน สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) เปิดเผยว่า ได้ดำเนินการวิเคราะห์และประเมินผลกระทบของการปรับขึ้นอัตราภาษีสรรพสามิตสินค้าน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน ประเภทน้ำมันเบนซิน และน้ำมันดีเซล
โดยพิจารณาความสามารถของกองทุนน้ำมันฯ ในการรองรับรายได้ที่น้อยลง และให้นำเสนอ กบน. พิจารณาปรับอัตราเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อให้ประชาชนไม่ได้รับผลกระทบต่อค่าครองชีพในการดำเนินการปรับขึ้นอัตราภาษีสรรพสามิตสินค้าน้ำมัน
ทั้งนี้ จากการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก และปัจจัยทุกด้านแล้วประเมินได้ว่า กองทุนน้ำมันฯ สามารถปรับอัตราเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อรองรับการปรับขึ้นอัตราภาษีสรรพสามิตสินค้าน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน ประเภทน้ำมันเบนซิน และน้ำมันดีเซล ได้จนถึงสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ.2568 หรือวันที่ 30 ก.ย. 68
อย่างไรก็ตามหากเกิดสถานการณ์วิกฤตการณ์ด้านราคาน้ำมันเชื้อเพลิงจนส่งผลกระทบต่อราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศ ทำให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงขาดสภาพคล่อง จะเสนอให้กระทรวงการคลัง โดยกรมสรรพสามิต พิจารณาปรับลดภาษีน้ำมันลง เพื่อรักษาเสถียรภาพระดับราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศให้อยู่ในระดับราคาที่เหมาะสม
ซึ่ง กบน. ได้พิจารณาเห็นชอบปรับอัตราเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง แบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก ประกอบด้วย
นายพรชัย กล่าวอีกว่า การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง จะส่งผลให้รายรับของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงประเภทน้ำมัน ลดลงประมาณวันละ 49.57 ล้านบาทต่อวัน จากประมาณวันละ 393.97 ล้านบาทต่อวัน เป็นประมาณวันละ 344.40 ล้านบาทต่อวัน
"จากการวิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบัน เชื่อว่าจะสามารถตรึงราคาน้ำมันไม่ให้ปรับขึ้นได้จนถึงวันที่ 30 ก.ย. 68 แต่หากราคาน้ำมันตลาดโลกลด ก็พร้อมที่จะพิจารณาปรับลดราคาหน้าปั๊มลงตาม"
ขณะที่ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 4 พฤษภาคม 2568 ติดลบอยู่ที่ 47,779 ล้านบาท แบ่งเป็น
“กบน.ยังคงยึดมั่นในการดำเนินงานภายใต้กรอบของพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.2562 เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันภายในประเทศ พร้อมยืนยันหลักการดำเนินงานที่เปิดเผย โปร่งใส และตรวจสอบได้เพื่อให้ประชาชนมั่นใจว่า ทุกมาตรการมีเป้าหมายเพื่อประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ และประชาชน อย่างแท้จริง”