ย้อนรอย BSGF บ.ลูกบางจาก ก่อนผลิต SAF พลาดเป้า ฉุดรายได้ 1.8 พันล้าน

04 เม.ย. 2568 | 01:41 น.
อัปเดตล่าสุด :04 เม.ย. 2568 | 01:41 น.

ส่องจุดกำเนิด BSGF บริษัทลูกบางจาก ก่อนผลิต SAF พลาดเป้า กระทบรายได้กว่า 1.8 พันล้านบาท หลังสถานการณ์เปลี่ยนหลายประเทศปรับนโยบายพลังงานหมุนเวียน

บริษัท บีเอสจีเอฟ จำกัด (BSGF) กำลังประสบปัญหาในการเดินหน่วยผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (SAF) ตามแผนงาน เนื่องจากบริษัท ธนโชคน้ำมันพืช (2012) จำกัด ไม่สามารถจัดส่งน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้ว (Used Cooking Oil) ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตได้ตามสัญญา หลังจากที่ทั้งสองบริษัทได้ทำสัญญาจัดซื้อมูลค่า 450 ล้านบาทเมื่อปี 2566

จากปัญหาดังกล่าวส่งผลให้ BSGF ไม่สามารถเดินหน่วยการผลิตได้ตามแผน ซึ่งเดิมจะเริ่มผลิตน้ำมัน SAF ภายในไตรมาส 4 ปี 2567 แต่ล่าสุดบางจาก มีกำหนดเปิดปลายเดือนเม.ย.2568 ส่งผลกระทบต่อ EBITDA ซึ่งเป็นกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย ของบริษัทเป็นมูลค่าถึง 1,879 ล้านบาท

โดยที่การก่อตั้ง BSGF มาจากการมองแนวโน้มทความต้องการใช้ SAF ทั่วโลก สอดคล้องกับสอดคล้องกับข้อกำหนดในสหภาพยุโรปที่กำหนดสัดส่วนการผสม SAF ที่ 2% ในปี 2568 (2025) และเพิ่มขึ้นเป็น 6% ในปี 2573 (2030), 37% ในปี 2583 (2040) และ 85% ในปี 2593 (2050) สอดคล้องกับมาตรการขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (International Civil Aviation Organization: ICAO) และสมาคมการบินระหว่างประเทศ (International Air Transport Association :  IATA) ที่ให้การสนับสนุน เพื่อให้อุตสาหกรรมการบินทั่วโลกมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ในปี 2593

แต่จากสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปทำให้หลายประเทศปรับเปลี่ยนนโยบายพลังงานหมุนเวียน ซึ่งทำให้มีความกังวลราคาน้ำมัน SAF อาจไม่พุ่งสูงเท่าที่เคยคาดการณ์

ทั้งนี้ “ฐานเศรษฐกิจ“ จะพาไปย้อนรอยจุดกำเนิดของ BSGF ว่าเป็นอย่างไรก่อนที่จะประสบปัญหา

ย้อนรอย BSGF บ.ลูกบางจาก ก่อนผลิต SAF พลาดเป้า ฉุดรายได้ 1.8 พันล้าน

BSGF มีจุดเริ่มต้นก่อตั้งมาจากการร่วมทุนกันของบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้ดำเนินการร่วมกับบริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ธนโชค ออยล์ ไลท์ เพื่อดำเนินธุรกิจผลิต และจำหน่ายเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (SAF) จากน้ำมันใช้แล้วจากการทำอาหารรายแรก และรายเดียวในไทย เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2565

โดยมีการทุ่มเงินงบประมาณในการสร้างโรงกลั่นประมาณ 8,000-10,000 ล้านบาท ซึ่งมีกำลังการผลิตเริ่มต้น 1 ล้านลิตรต่อวัน โดยมีสัดส่วนการลงทุนโดยบางจากฯ 51% ธนโชค ออยล์ ไลท์ 29% และบีบีจีไอ 20%

สำหรับโมเดลธุรกิจของ BSGF เริ่มจากการรับซื้อน้ำมันจากการทำอาหารโดยธนโชค ออยล์ ไลท์ จากนั้นใช้เทคโนโลยีและการกลั่นจากบีบีจีไอ ขณะที่พื้นที่โรงงานและการขายจะทำโดยบางจาก

การร่วมทุนดังกล่าวเป็นการนำประสบการณ์และความเชี่ยวชาญระหว่างพันธมิตรทั้ง 3 มาร่วมวางรากฐานที่มั่นคงให้กับบริษัท BSGF ทั้งใน

ด้านการจัดหาวัตถุดิบ การผลิต และการจัดจำหน่าย ประกอบด้วย

  • บางจาก - โรงกลั่นแบบ Complex Rennery ที่ทันสมัยเป็นผู้บุกเบิกการรับชื่อน้ำมัน ใช้แล้วจากการทำอาหารในครัวเรือนเพื่อผลิตไบโอดีเซลในประเทศไทยเป็นรายแรกและมีความเชี่ยวชาญในการค้าน้ำมันผ่านบริษัท BCP
  • บริษัท ธนโชค ออยล์ ไลท์ฯ - ผู้มีประสบการณ์ในการจัดหาวัตถุดิบอย่างน้ำมันใช้แล้วจากการทำอาหาร
  • บริษัท บีบีจีไอฯ - ผู้นำอุตสาหกรรมเชื่อเพลิงชีวภาพและผู้สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ชีวภาพมูลค่าสูง

ย้อนรอย BSGF บ.ลูกบางจาก ก่อนผลิต SAF พลาดเป้า ฉุดรายได้ 1.8 พันล้าน

โดย BSGF จะเริ่มดำเนินธุรกิจด้วยการก่อสร้างหน่วยผลิต SAF จากน้ำมันใช้แล้วจากการทำอาหาร (Used CookingOil) ภายในบริเวณโรงกลั่นน้ำมันบางจาก คาดว่าจะเริ่มเปิดดำเนินการได้ช่วงปลายปี 2567 ด้วยกำลังการผลิตเริ่มต้น 1,000,000 ลิตรต่อวัน ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากอุตสาหกรรมการบินลงได้ประมาณ 80,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี (เทียบกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของเชื้อเพลิงการบินในปัจจุบัน)

อย่างไรก็ตาม บริษัทมีแผนการแก้ไขปัญหา บรรเทาความเสี่ยงดังกล่าว ด้วยการ เพิ่มการจัดหาวัตถุดิบในประเทศเพื่อลดต้นทุน บริหารต้นทุนการผลิตให้มีประสิทธิภาพ เจรจาแก้ไขสัญญากับคู่ค้า ซึ่งรวมถึงการเลื่อนการส่งมอบน้ำมัน SAF ปรับอัตราราคาขาย เปลี่ยนเป็นขอบเขตการ Tolling และการใช้วัตถุดิบทดแทนน้ำมันที่ใช้แล้ว

แม้จะมีการดำเนินการตามแผนบรรเทาความเสี่ยงดังกล่าว ผลกระทบต่อ EBITDA ยังคงอยู่ที่ 1,879 ล้านบาท ทั้งก่อนและหลังการบรรเทาความเสี่ยง

ทั้งนี้เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2566 บริษัท บางจาก ได้ลงนามในสัญญาร่วมทุนและสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นเพื่อเข้าซื้อเงินลงทุนในสัดส่วน 45% ในบริษัท ธนโชคน้ำมันพืช (2012) จำกัด (TCV) ซึ่งเป็นผู้ประกอบธุรกิจจัดหาและจำหน่ายน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้ว ในวงเงินไม่เกิน 450 ล้านบาท  

บริษัทได้ชำระค่าหุ้นเพิ่มทุนครั้งแรกจำนวน 150 ล้านบาทในวันที่ 28 ธันวาคม 2566 และได้รับโอนหุ้นในวันที่ 5 มกราคม 2567 โดยมีเงื่อนไขว่าจะจ่ายส่วนที่เหลืออีก 300 ล้านบาทภายในปี 2567 และ 2568 แบ่งเป็นครั้งละ 150 ล้านบาท เมื่อ TCV สามารถสร้างผลงานตามดัชนีชี้วัดผลงานที่กำหนดไว้ในสัญญา

อย่างไรก็ตาม บริษัทยังไม่ได้ชำระเงินงวดแรกในปี 2567 เนื่องจากอยู่ในระหว่างการพิจารณาตามเงื่อนไขกับคู่สัญญา วันที่ 31 ธันวาคม 2567 บริษัทได้รับรู้สิ่งตอบแทนที่คาดว่าจะต้องจ่ายดังกล่าวเป็นหนี้สินหมุนเวียนอื่นในงบฐานะการเงิน

ขณะที่ในปี 2567 BSGF ได้มีการเพิ่มทุนรวม 4 ครั้ง ประกอบด้วย

  • ครั้งที่ 1 (มกราคม): เพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 3,201 ล้านบาท โดยออกหุ้นสามัญ 79 ล้านหุ้นและหุ้นบุริมสิทธิ 21 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท บริษัท บางจากฯ และบริษัท BBGI ชำระค่าหุ้นเพิ่มทุน 800 ล้านบาท และ 200 ล้านบาท ตามลำดับ
  • ครั้งที่ 2 (เมษายน): เพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 4,201 ล้านบาท โดยออกหุ้นสามัญ 79 ล้านหุ้นและหุ้นบุริมสิทธิ 21 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท บริษัท บางจากฯ และ BBGI ชำระค่าหุ้นเพิ่มทุน 800 ล้านบาท และ 200 ล้านบาท ตามลำดับ
  • ครั้งที่ 3 (สิงหาคม): เพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 6,201 ล้านบาท โดยออกหุ้นสามัญ 158 ล้านหุ้นและหุ้นบุริมสิทธิ 42 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท บริษัท บางจากฯ และ BBGI ชำระค่าหุ้นเพิ่มทุน 1,600 ล้านบาท และ 400 ล้านบาท ตามลำดับ
  • ครั้งที่ 4 (ธันวาคม): เพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 8,201 ล้านบาท โดยออกหุ้นสามัญ 158 ล้านหุ้นและหุ้นบุริมสิทธิ 42 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท บริษัท บางจากฯ และ BBGI ชำระค่าหุ้นเพิ่มทุนครั้งที่ 1 จำนวน 800 ล้านบาท และ 200 ล้านบาท ในเดือนธันวาคม 2567 และชำระค่าหุ้นเพิ่มทุนครั้งที่ 2 จำนวน 800 ล้านบาท และ 200 ล้านบาท ในเดือนกุมภาพันธ์ 2568