บริษัท บีเอสจีเอฟ จำกัด (BSGF) กำลังประสบปัญหาในการเดินหน่วยผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (SAF) ตามแผนงาน เนื่องจากบริษัท ธนโชคน้ำมันพืช (2012) จำกัด ไม่สามารถจัดส่งน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้ว (Used Cooking Oil) ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตได้ตามสัญญา หลังจากที่ทั้งสองบริษัทได้ทำสัญญาจัดซื้อมูลค่า 450 ล้านบาทเมื่อปี 2566
จากปัญหาดังกล่าวส่งผลให้ BSGF ไม่สามารถเดินหน่วยการผลิตได้ตามแผน ซึ่งเดิมจะเริ่มผลิตน้ำมัน SAF ภายในไตรมาส 4 ปี 2567 แต่ล่าสุดบางจาก มีกำหนดเปิดปลายเดือนเม.ย.2568 ส่งผลกระทบต่อ EBITDA ซึ่งเป็นกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย ของบริษัทเป็นมูลค่าถึง 1,879 ล้านบาท
โดยที่การก่อตั้ง BSGF มาจากการมองแนวโน้มทความต้องการใช้ SAF ทั่วโลก สอดคล้องกับสอดคล้องกับข้อกำหนดในสหภาพยุโรปที่กำหนดสัดส่วนการผสม SAF ที่ 2% ในปี 2568 (2025) และเพิ่มขึ้นเป็น 6% ในปี 2573 (2030), 37% ในปี 2583 (2040) และ 85% ในปี 2593 (2050) สอดคล้องกับมาตรการขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (International Civil Aviation Organization: ICAO) และสมาคมการบินระหว่างประเทศ (International Air Transport Association : IATA) ที่ให้การสนับสนุน เพื่อให้อุตสาหกรรมการบินทั่วโลกมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ในปี 2593
แต่จากสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปทำให้หลายประเทศปรับเปลี่ยนนโยบายพลังงานหมุนเวียน ซึ่งทำให้มีความกังวลราคาน้ำมัน SAF อาจไม่พุ่งสูงเท่าที่เคยคาดการณ์
ทั้งนี้ “ฐานเศรษฐกิจ“ จะพาไปย้อนรอยจุดกำเนิดของ BSGF ว่าเป็นอย่างไรก่อนที่จะประสบปัญหา
BSGF มีจุดเริ่มต้นก่อตั้งมาจากการร่วมทุนกันของบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้ดำเนินการร่วมกับบริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ธนโชค ออยล์ ไลท์ เพื่อดำเนินธุรกิจผลิต และจำหน่ายเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (SAF) จากน้ำมันใช้แล้วจากการทำอาหารรายแรก และรายเดียวในไทย เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2565
โดยมีการทุ่มเงินงบประมาณในการสร้างโรงกลั่นประมาณ 8,000-10,000 ล้านบาท ซึ่งมีกำลังการผลิตเริ่มต้น 1 ล้านลิตรต่อวัน โดยมีสัดส่วนการลงทุนโดยบางจากฯ 51% ธนโชค ออยล์ ไลท์ 29% และบีบีจีไอ 20%
สำหรับโมเดลธุรกิจของ BSGF เริ่มจากการรับซื้อน้ำมันจากการทำอาหารโดยธนโชค ออยล์ ไลท์ จากนั้นใช้เทคโนโลยีและการกลั่นจากบีบีจีไอ ขณะที่พื้นที่โรงงานและการขายจะทำโดยบางจาก
การร่วมทุนดังกล่าวเป็นการนำประสบการณ์และความเชี่ยวชาญระหว่างพันธมิตรทั้ง 3 มาร่วมวางรากฐานที่มั่นคงให้กับบริษัท BSGF ทั้งใน
ด้านการจัดหาวัตถุดิบ การผลิต และการจัดจำหน่าย ประกอบด้วย
โดย BSGF จะเริ่มดำเนินธุรกิจด้วยการก่อสร้างหน่วยผลิต SAF จากน้ำมันใช้แล้วจากการทำอาหาร (Used CookingOil) ภายในบริเวณโรงกลั่นน้ำมันบางจาก คาดว่าจะเริ่มเปิดดำเนินการได้ช่วงปลายปี 2567 ด้วยกำลังการผลิตเริ่มต้น 1,000,000 ลิตรต่อวัน ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากอุตสาหกรรมการบินลงได้ประมาณ 80,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี (เทียบกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของเชื้อเพลิงการบินในปัจจุบัน)
อย่างไรก็ตาม บริษัทมีแผนการแก้ไขปัญหา บรรเทาความเสี่ยงดังกล่าว ด้วยการ เพิ่มการจัดหาวัตถุดิบในประเทศเพื่อลดต้นทุน บริหารต้นทุนการผลิตให้มีประสิทธิภาพ เจรจาแก้ไขสัญญากับคู่ค้า ซึ่งรวมถึงการเลื่อนการส่งมอบน้ำมัน SAF ปรับอัตราราคาขาย เปลี่ยนเป็นขอบเขตการ Tolling และการใช้วัตถุดิบทดแทนน้ำมันที่ใช้แล้ว
แม้จะมีการดำเนินการตามแผนบรรเทาความเสี่ยงดังกล่าว ผลกระทบต่อ EBITDA ยังคงอยู่ที่ 1,879 ล้านบาท ทั้งก่อนและหลังการบรรเทาความเสี่ยง
ทั้งนี้เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2566 บริษัท บางจาก ได้ลงนามในสัญญาร่วมทุนและสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นเพื่อเข้าซื้อเงินลงทุนในสัดส่วน 45% ในบริษัท ธนโชคน้ำมันพืช (2012) จำกัด (TCV) ซึ่งเป็นผู้ประกอบธุรกิจจัดหาและจำหน่ายน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้ว ในวงเงินไม่เกิน 450 ล้านบาท
บริษัทได้ชำระค่าหุ้นเพิ่มทุนครั้งแรกจำนวน 150 ล้านบาทในวันที่ 28 ธันวาคม 2566 และได้รับโอนหุ้นในวันที่ 5 มกราคม 2567 โดยมีเงื่อนไขว่าจะจ่ายส่วนที่เหลืออีก 300 ล้านบาทภายในปี 2567 และ 2568 แบ่งเป็นครั้งละ 150 ล้านบาท เมื่อ TCV สามารถสร้างผลงานตามดัชนีชี้วัดผลงานที่กำหนดไว้ในสัญญา
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังไม่ได้ชำระเงินงวดแรกในปี 2567 เนื่องจากอยู่ในระหว่างการพิจารณาตามเงื่อนไขกับคู่สัญญา วันที่ 31 ธันวาคม 2567 บริษัทได้รับรู้สิ่งตอบแทนที่คาดว่าจะต้องจ่ายดังกล่าวเป็นหนี้สินหมุนเวียนอื่นในงบฐานะการเงิน
ขณะที่ในปี 2567 BSGF ได้มีการเพิ่มทุนรวม 4 ครั้ง ประกอบด้วย